The Bigger and Better "Khao"
สำหรับใครที่เคยมีโอกาสได้ไปที่ "ข้าว" ร้านอาหารไทยรูปแบบเชฟเทเบิ้ลโดยเชฟวิชิต มุกุระ เชฟอาหารไทยชื่อดังที่มีประสบการณ์ในวงการอาหารไทยมาอย่างยาวนาน ได้เวลากลับมาที่ร้านนี้อีกครั้งที่โลเคชั่นใหม่ในซอยเจริญมิตร (เอกมัย ซอย 10) โดยที่ร้านใหม่นี้นอกจากจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังมีบริการทั้งรูปแบบเชฟเทเบิ้ล ห้องไพรเวทไดน์นิ่ง และโซนร้านอาหารที่เปิดกว้างให้ทุกคนได้พาครอบครัวและคนรักมาทานอาหารไทยกันในบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง
Heart of Thai Food
บริเวณกลางร้านเป็นที่ตั้งของแปลงนาข้าวขนาดเล็กที่ทางร้านปลูกเองเพื่อเสริมให้คอนเซ็ปต์ร้าน "ข้าว" เด่นชัดยิ่งขึ้น และยังเป็นแปลงนาจริง ๆ ที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในอนาคตด้วย
Warm Welcome
เชฟวิชิตใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่คอนเซ็ปต์ร้านที่ต้องการให้มีบรรยากาศสบาย ๆ ต้อนรับใครที่มากันเป็นครอบครัว รวมถึงการออกแบบตกแต่งร้านซึ่งสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการผสมผสานของยุ้งข้าวและฉางเกลือ ทำให้ตัวร้านออกมามีรูปแบบที่แปลกตาไม่เหมือนที่ไหน เพิ่มรายละเอียดตรงช่องหน้าต่างที่คล้ายการขัดของชิ้นไม้ ทางร้านเลือกใช้ไม้สีอ่อน ผนังสีขาวและเฟอร์นิเจอร์สีครีม - เขียว เพื่อให้ร้านดูโปร่งและสบายตา โซนร้านอาหารสามารถรองรับได้ถึง 60 ที่นั่ง มีห้องไพรเวทไดน์นิ่ง และโซนเชฟเทเบิ้ล เพิ่มโซนบาร์เครื่องดื่มและครัวเปิดเพื่อให้เห็นการทำงานของทีมเชฟอย่างใกล้ชิด
The Master Chef
แน่นอนว่าเมื่อมาที่ร้านนี้ หลายคนคงอยากลองชิมอาหารไทยที่ครีเอทโดยเชฟวิชิต มุกุระ เชฟอาหารไทยที่ขึ้นชื่อในการคัดสรรวัตถุดิบมาครีเอทเป็นเมนูอาหารไทยรูปแบบใหม่ ๆ สำหรับเมนูของที่นี่ ทางเชฟได้รวบรวมเมนูอาหารไทยจานโปรดของหลายครอบครัวเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นแกงเผ็ด หรือน้ำพริกต่าง ๆ พร้อมเพิ่มกิมมิกและดัดแปลงเมนูอาหารไทยที่คนคุ้นเคยกันอยู่แล้วให้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยบางเมนูมาจากเมนูเชฟเทเบิ้ลของทางร้านและบางเมนูมาจากรายการอาหารของเชฟเอง ทุกเมนูของที่นี่จะไม่ใส่ผงชูรสและเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็นหลัก
Authentic Thai Taste With A Twist
เริ่มจากเมนูแรกที่ทางร้านแนะนำ ทอดมันกุ้งปลาหมึก (280 บาท) สำหรับจานนี้เชฟนำเมนูที่หลายคนคุ้นเคยมาดัดแปลงใหม่ เริ่มจากการใช้เนื้อกุ้งและปลาหมึกล้วน ๆ ไม่ผสมมันหมู คลุกผสมกับเครื่องเทศและดีปลาหมึกก่อนจะนำไปทอด เมื่อหั่นทอดมันออกมา จะเห็นสีและเท็กซ์เจอร์ด้านในที่มองแล้วคล้ายกับหินแกรนิต เสิร์ฟมาพร้อมซอสมะม่วงรสหวานอมเปรี้ยว ทานแล้วเข้ากันดี
ต่อด้วย ยำขมิ้นขาว (320 บาท) เมนูจานยำที่หาทานไม่ได้ง่ายนักในกรุงเทพฯ ทางเชฟนำขมิ้นขาวสด ๆ มาซอยและนำไปยำกับกุ้งตัวโตจนได้รสแซ่บสไตล์ไทย ๆ จานต่อมา ไก่อบแกง (320 บาท) เนื้อไก่หมักกะทิจนนุ่มแล้วนำไปอบจนสุกระดับนึง ก่อนจะนำไปใส่ในแกงเผ็ดสูตรของทางร้าน เสิร์ฟมาพร้อมข้าวโพดหวาน เหมาะทานคู่กับข้าวหอมมะลิแดงของทางร้าน
ส่วนใครที่มองหาเมนูต้ม ลองสั่ง ต้มส้มปลากระบอก (460 บาท) เมนูให้สมุนไพรและเนื้อปลามาแบบจัดเต็ม น้ำแกงรสกลมกล่อม ทางร้านยังเพิ่มผักแขยง ผักพื้นบ้านของภาคอีสานลงไปด้วยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม
Must Try Thai Desserts
นอกจากอาหารคาวแล้ว ขนมไทยของที่นี่ก็ดีไม่แพ้กัน ใครที่ยังเลือกไม่ถูก แนะนำ ชุดขนมไทยรวม (280 บาท) จานนี้รวบรวมขนมไทยยอดนิยมอย่างขนมชั้น เปียกปูน หยกมณี และวุ้นกะทิ ไว้ด้วยกัน จุดเด่นของขนมไทยที่นี่คือรสชาติที่นุ่มนวล ไม่หวานมาก และเนื้อสัมผัสที่นุ่มเหนียวกำลังพอดี
ส่วนใครที่กลัวจะทานไม่หมด ลองสั่ง สาคูข้าวโพด (120 บาท) สาคูเนื้อนุ่ม ๆ เข้ากันได้ดีกับข้าวโพดหวานและเนื้อมะพร้าว รสหวานนิด ๆ ของสาคูตัดกับรสเค็มของกะทิสด เป็นการปิดท้ายมื้อที่อิ่มทั้งท้องและอิ่มทั้งใจไปกับเสน่ห์ของอาหารไทยสไตล์ร้าน "ข้าว" จริง ๆ