ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคนี้เป็นยุคทองของวงการอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่ง เพราะอาหารไทยได้ถูกพัฒนาและยกระดับให้มีความพรีเมียม ทัดเทียมกับอาหารไฟน์ไดน์นิ่งอีกหลากหลายสัญชาติทั่วโลก หนึ่งในบุคคลที่นำพาอาหารไทยสู่สายตาชาวโลกได้สำเร็จ ในฐานะเชฟอันดับต้น ๆ แห่งวงการไฟน์ไดน์นิ่งของไทย นั่นก็คือ ‘เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร’ ผู้เชื่อเสมอว่าอาหารไทยสามารถพัฒนา ต่อยอด และเป็นที่ยอมรับได้ในระดับโลก จนสามารถนำพา 2 ร้านอาหารไทยของเขาเองอย่าง Ledu (ฤดู) และ Nusara (นุสรา) ติดอันดับร้านอาหารที่ดีที่สุดในเอเชีย โดยอีกหนึ่งก้าวความสำเร็จของวงการอาหารไทยบนเวทีระดับโลกครั้งล่าสุด ’ร้าน Nusara (นุสรา)’ ก็ได้คว้ารางวัล Gin Mare Art of Hospitality Award 2024 ในงาน Asia’s 50 Best Restaurants 2024 มาครองอีกเช่นเคย รางวัลนานาชาติเหล่านี้ย่อมการันตีได้ว่าฝีไม้ลายมือของเชฟคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
เบื้องหลังความสำเร็จที่ได้รับ ณ วันนี้ การรังสรรค์ความอร่อยอาหารไทยในแบบฉบับเชฟต้น ตัวตน และอีก
หลากเรื่องราวของแพชชั่นบนเส้นทางสายอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนจะเป็นอย่างไร
บ้างนั้น ครั้งนี้ BKK. ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ ‘เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร’ ให้มากขึ้น พร้อมด้วยการอัพเดตก้าวใหม่ของ 'ร้าน Nusara (นุสรา)’ ในการขับเคลื่อนวงการอาหารไทยไปอีกขั้น ผ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมาย แนวคิดการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มศักยภาพของอาหารไทยไปสู่เวทีโลกด้วยความตั้งใจ
อย่างแท้จริง
เดินตามความฝัน เรียนทำอาหาร เพื่อสืบสานและยกระดับอาหารไทย
ด้วยความรักในการทำอาหารผ่านการซึมซับจากฝีมือการทำอาหารของคนในครอบครัว สิ่งนี้เองได้หล่อหลอมให้เชฟต้นได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นชอบทำอาหาร กระทั่งตัดสินใจเดินตามความฝัน ไปเรียนทำอาหารและฝึกงานที่ครัวต่างประเทศไกลถึงสหรัฐอเมริกา พร้อมเริ่มต้นแนวคิดที่จะชูวัตถุดิบท้องถิ่นไทยและยกระดับอาหารไทย นำเสนอให้มีความแปลกใหม่และน่าสนใจในสายตาชาวโลกมากยิ่งขึ้น
“ตอนทำงานอยู่ที่นิวยอร์ก ต้องบอกก่อนว่าเราไม่ได้ทำงานในร้านอาหารไทยเลย แต่ได้ไปทำงานในร้านอาหารรางวัลมิชลิน เบสคือเป็นอาหารยุโรป เราเห็นว่าร้านอาหารมิชลินสตาร์ 3 ดาว 2 ดาวในนิวยอร์ก เขาให้ความสำคัญกับวัตถุดิบโลคอลของเขา แล้วเราก็รู้สึกว่า เอ๊ะ...ทำไมเขาถึงให้ความสำคัญกับเกษตรกร กับคนที่สร้างผลิตภัณฑ์ คนที่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ มากขนาดนั้น ก็เลยมองย้อนกลับมาที่ประเทศเรา วงการอาหารไทยในขณะนั้น อาหารไทยอาจจะไม่ใช่อะไรที่ได้รับความนิยมมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่มของคนไทยด้วยกันเอง ซึ่งทุกคนมองว่าอาหารไทยคือสตรีทฟู้ด อาหารไทยถูก วัตถุดิบไทยถูก ไม่มีใครกล้าที่จะจ่ายแพงหรอก และนั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นที่เราเห็นว่าทำไมถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงนี้สักที อยากทำให้มันเปลี่ยนแปลง ด้วยการลงมือทำด้วยตัวเอง เราตัดสินใจว่าจะเปิดร้านอาหารไทยที่เป็นอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่ง ใช้วัตถุดิบโลคอลอย่างเดียว จากเกษตรกรของไทยรายเล็ก ๆ อย่างเดียวมาทำอาหาร ให้อาหารไทยมีอะไรแปลกใหม่ แตกต่างไปจากเดิม” นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการริเริ่มทำอาหารไทย นำพาอาหารไทยเข้าสู่วงการไฟน์ไดน์นิ่งอย่างเป็นทางการ
ส่งต่ออาหารไทยสู่วงการอาหารในระดับนานาชาติ
การส่งไม้ต่อให้กับวงการอาหารไทย ปรับโฉมใหม่ พัฒนาให้ทัดเทียมไม่น้อยหน้าอาหารสัญชาติอื่น ๆ ได้นั้น แม้อาจต้องใช้ระยะเวลาในเรียนรู้และคิดค้นไปทีละสเต็ปอยู่นานพอสมควร แต่เชฟต้นยังคงเชื่อมั่นเสมอว่าอาหารไทยสามารถต่อยอด เติบโตต่อไปได้ทั้งยุคสมัยนี้และในอนาคตอย่างแน่นอน
“ผมว่าอาหารไทยยังพัฒนาไปได้อีกเยอะ ถึงแม้ขณะสิ่งที่ผมทำมาแล้วเป็น 10 ปี ก็ยังเชื่อว่ามันไปต่อได้ ตอนนี้เรามาถึงจุดที่อาหารไทยได้รับการยอมรับในระดับโลก ในฐานะหนึ่งใน Cuisine ที่สามารถเทียบเคียงกับไฟน์ไดน์นิ่งสัญชาติอื่น ๆ ได้ จะเห็นได้จากปีที่ผ่านมา ร้านของผมก็ได้ที่ 1 ของเอเชียคือ Le Du และที่ 3 Nusara - นุสรา เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าอาหารไทยไปถึงอันดับหนึ่งของเอเชียได้จริง ๆ ก็คงไม่มีใครคิด ไม่มีใครฝันว่าวันหนึ่งเชฟไทยจะทำได้ แล้วเราก็ทำมันสำเร็จ แต่หลังจากนี้ก็คงมีอีกหลายสเต็ปที่ทำได้อีกและทำได้ดีกว่านี้ เราอาจจะไปถึงระดับต้น ๆ ของโลก ในระดับอาหารที่เป็นไฟน์ไดน์นิ่ง โดยฝีมือเชฟไทย”
นิยามอาหารไทยที่ถูกต้องในมุมมองของผู้รังสรรค์ความอร่อย
นอกจากหน้าที่ในการพัฒนาอาหารไทยอย่างไม่หยุดยั้งแล้ว ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังการรังสรรค์ความอร่อย เชฟต้นเลือกที่จะไม่จำกัดบทบาทของตัวเองไว้เพียงแค่คนทำอาหารเท่านั้น แต่กลับมองไปไกลว่าเราสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศไทยผ่านการสร้างสรรค์ประสบการณ์ทานมื้ออาหารที่ดีได้อีกด้วย
“อาหารไทยมีหลายปัจจัยและละเอียดอ่อนมาก หลายคนอาจบอกว่าอาหารไทยที่ดีคืออาหารไทยแท้หรือเปล่า? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ต้องมานั่งมองกันอีกว่าอาหารไทยแท้คืออะไร ไทยแท้คืออาหารที่เรากินกันมาตั้งแต่กี่ร้อยปีที่แล้ว ซึ่งหากมองย้อนกลับไปในแต่ละยุคสมัย เมืองไทยเมื่อห้าร้อยปีก่อน เมืองไทยสองร้อยปีก่อน หรือเมืองไทยร้อยปีก่อน คนเราก็กินอาหารไม่เหมือนกัน ถ้าจะตัดสินกันอย่างนี้มันก็ยากมาก สำหรับผมขอมองข้ามเรื่องความเป็นกำเนิดไป เพราะคิดว่ามันเป็นอะไรที่ปลายเปิดมาก ๆ ผมคิดว่าอาหารมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา อาหารทุกสัญชาติรวมถึงอาหารไทยด้วยล้วนมีการเปลี่ยนแปลง และเราก็ควรเคลื่อนไหวตลอดเวลาเช่นกัน”
“อาหารไทยที่ดี ผมว่าควรทำมาจากความเข้าใจในอาหารไทยที่มีก่อน ไม่ว่ามันจะออกมาเป็นอาหารชื่ออะไร หน้าตาแบบไหน หรือด้วยวัตถุดิบอะไรที่มันอาจจะแปลกใหม่ในโลกสมัยนี้ อาจจะไม่เหมือนสมัยก่อน แต่คนทำอาหารไทยที่ดีต้องมีความเข้าใจรากฐานอาหารไทยก่อน ไม่จำเป็นต้องเหมือน แต่ต้องเข้าใจ ผมไม่ได้บอกว่าผมทำอาหารแบบตามสูตรเดิมเป๊ะ ๆ แต่ผมต้องทำความเข้าใจด้วยว่าทำไมสูตรอาหารของคนสมัยก่อนเขาถึงทำอย่างนี้ ทำไมเขาถึงใส่วัตถุดิบนี้ ทำไมคนถึงชอบกินรสชาตินี้ และเมื่อคุณมีความเข้าใจตรงนั้น คุณก็สามารถเอาจุดสำคัญนั้นมานำเสนอ ทำอะไรที่มันแปลกใหม่ได้”
“สรุปก็คือ เราต้องมีความเข้าใจในอาหารไทยก่อน แล้วพอมีความเข้าใจในอาหารไทยแล้วจริง ๆ ก็สามารถเอามาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน กับโลกยุคปัจจุบัน กับคนทานยุคปัจจุบัน กับวัตถุดิบปัจจุบันที่เราหาได้”
เข้าครัวไทย ลงมือทำอาหารไทยในแบบฉบับเชฟต้น
กว่าที่อาหารไทยจะถูกร้อยเรียงความอร่อยออกมาเป็นคอร์สอาหารสุดพิเศษแต่ละจานได้นั้น แน่นอนต้องผ่านการคิด คัดสรรวัตถุดิบ และปรุงอาหารอย่างพิถีพิถัน ซึ่งเบื้องหลังการรังสรรค์อาหารไทยในแบบของเชฟต้นนั้น เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เน้นการสร้างความสมดุล เพื่อให้ได้รสชาติของความเป็นไทยในแบบที่ลงตัวที่สุด
“รสชาติอาหารไทยของผมจะค่อนข้างมีลายเซ็น ผมจะทำอาหารไทยด้วยรสชาติที่ค่อนข้างสมดุลหรือบาลานซ์ค่อนข้างเยอะ ไม่โดดไปทางใดทางหนึ่ง หมายถึงว่าอาหารผมจะไม่ได้เผ็ดมาก ไม่ได้เค็มมาก ไม่ได้หวานมาก และไม่ได้เปรี้ยวมาก ซึ่งสำหรับผมแล้วมันคือความสมดุลในรสชาติ ผมมีความเชื่อว่าอาหารที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารไทยอย่างเดียว อาหารทุกสัญชาติที่ดีมันควรจะมีความบาลานซ์ และหน้าที่ของผมก็คือการหาความสมดุลทั้งในอาหารไทยและส่งผ่านรสชาติที่กลมกล่อมออกมาให้กับอาหารแต่ละจานอย่างดีที่สุด”
ก้าวใหม่ของร้านอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่ง ‘Nusara - นุสรา’
เมื่อเอ่ยถึง ‘Nusara - นุสรา’ ร้านอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่งของเชฟต้น ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำที่มีต่อคุณยายนุสราผู้ล่วงลับและเป็นที่รักของหลานชายถึง 2 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเชฟต้น โดยเขาได้ซึมซับความรักความชอบทำอาหารไทยมาจากคุณยายนุสรา และมีความตั้งใจที่จะอยากส่งความอร่อยให้กับลูกค้าทุกคน เช่นเดียวกับที่ตนเคยได้รับ
ร้านอาหารไทยแห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เต็มไปด้วยมวลความอบอุ่นและความทรงจำดี ๆ ที่เชฟต้นมีต่อคุณยายนุสราในทุกอณู ผ่านบรรยากาศการตกแต่งร้านที่เน้นความคลาสสิก พร้อมด้วยความโดดเด่นด้านทัศนียภาพของวิวย่านท่าเตียน ซึ่งทุก ๆ ชั้นที่ให้บริการจะสามารถมองเห็นวิววัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) อีกหนึ่งแลนมาร์คสำคัญของย่านนี้ได้อย่างเต็มตา ซึ่งลูกค้าที่มารับประทานอาหารก็ได้ซึมซับบรรยากาศแบบไทย ๆ พร้อมลิ้มรสอาหารไทยไปในคราวเดียวอย่างสมบูรณ์
“ก้าวใหม่ของนุสรา หลังจากที่เราย้ายร้านจากโลเคชันเดิมมาสถานที่ใหม่เมื่อปีที่แล้ว ก็ต้องยอมรับตามตรงว่า เราใช้เวลาในการปรับตัวกับสถานที่ใหม่ค่อนข้างเยอะ เพราะจากนุสราที่คนรู้จักเมื่อเกือบ 4 ปีที่แล้ว เป็นเหมือนเชฟเทเบิ้ลเล็ก ๆ ในซอยท่าเตียนแบบลับ ๆ ได้วันนึงแค่โต๊ะหรือสองโต๊ะ จนมาเป็นร้านที่ใหญ่โต อลังการขึ้น ถึงเราจะย้ายร้านได้มาประมาณเกือบหนึ่งปี แต่ก็ยอมรับว่ามันมีความท้าทายหลาย ๆ อย่าง ต้องสร้างทีมที่ใหญ่ขึ้น ต้องให้ความสะดวกสบายกับสถานที่ที่มันใหญ่มากขึ้น กับอีกหลากหลายสเต็ปที่เราพยายามจะทำมากขึ้น และผมคิดว่าตอนนี้นุสราเวอร์ชันใหม่ พร้อมที่จะต้อนรับทุกคนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสถานที่ การบริการ ทีมงาน หรืออาหารที่จะค่อนข้างแตกต่างไปจากนุสราเมื่อ 4 ปีที่แล้ว”
“สำหรับคนที่เคยมาทานนุสราก่อนหน้านี้ ก็จะรู้ว่านุสราเป็นอาหารไทยที่เขาเรียกว่ามีความ Bold มีความบ้าน ๆ ผสมความ Refine นิดหน่อยครับ แต่พอเราย้ายสถานที่ มันเหมือนตอนนี้นุสราได้โตขึ้นแล้ว แล้วก็โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เราเลยอยากทำให้ภาพรวมของร้านนี้มีความเติบโตและพัฒนาอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ทำให้มันสมดุลและสวยงามมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นแหละได้ส่งผลกับการคิดค้นเมนูใหม่ ตอนนี้ผมอยากให้นุสราเป็นอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่งที่มีความเป็นต้นตำรับโบราณอยู่ ขณะเดียวกันก็มีความแปลกใหม่ แต่ยังเป็นอาหารไทยที่ทุกคนยังคิดว่า...เอออันนี้แหละมันคืออาหารไทยที่แท้จริงในสมัยปัจจุบันพ.ศ.นี้ อันนี้คือสิ่งที่เราอยาก Re-define นุสราให้มีความสวยงาม มีการเติบโตขึ้น มีความอ่อนละมุน มีรายละเอียดที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงรสชาติที่เข้มข้นของอาหารไทยเหมือนเดิม”
คอร์สความอร่อยครั้งใหม่ของ ‘Nusara - นุสรา’
ที่คนรักอาหารไทยต้องมาลิ้มลอง
ในส่วนของเมนูอาหารในร้านนุสรานั้น เชฟต้นได้ให้นิยามสั้น ๆ ว่าเป็น ‘อาหารไทยแต่งแต้มสีสัน’ โดยจะเป็นอาหารไทยในรูปแบบของเชฟต้น ที่ยังคงยึดหลักความเป็นอาหารไทยโบราณต้นตำรับ เพียงแต่ผสมผสานความร่วมสมัย ให้อาหารไทยมีสีสัน มีความสวยงามและทันสมัยมากขึ้น แม้หน้าตาบางเมนูจะดูต่างไปออกจากอาหารไทยตามปกติ แต่เมื่อลองชิมแล้วสัมผัสได้ทันทีว่านี่คือรสชาติอาหารไทยแท้แบบโบราณ
“คอร์สใหม่ของเราจะมีเมนูซิกเนเจอร์เก่าที่เรานำมาพัฒนาใหม่ให้อร่อยยิ่งขึ้น ก็จะมีแกงปูใบชะพลู ซึ่งตอนนี้เราทำเป็นแกงปูใบชะพลูหมี่กรอบกับใบเล็บครุฑแล้วก็ไข่แมงดา ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ของเรา หรือจะเป็นสำรับอาหารน้ำพริกสี่ภาคที่เราอยากจะนำเสนอน้ำพริกดัง ๆ จากสี่ภาคของเมืองไทยในรูปแบบของนุสรา ว่าเป็นการนำเสนอน้ำพริกในอีกรูปแบบหนึ่ง สามารถนำมาเพิ่มรสชาติกินกับสำรับกับข้าวได้ด้วย”
“อีกหนึ่งซิกเนเจอร์ของเราอีกก็คือสาคู เป็นสาคูแท้จากพัทลุงที่เอามาเสิร์ฟในแบบเวอร์ชันที่อาจเรียกได้ว่าพัฒนาขึ้น เป็นการเสิร์ฟความอร่อยด้วยวัตถุดิบธรรมดาในรูปแบบใหม่ให้มีความเป็นไฟน์ไดน์นิ่งมากขึ้นครับ”
อาหารไทย (ต้อง) ไม่แพ้ชาติใดในโลก
จากจุดเริ่มต้นในการเรียนทำอาหารสู่การเป็นเชฟมากฝีมือของไทยที่นำพาอาหารไทยก้าวไกล สร้างชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในระดับสากล สิ่งที่ทำให้เชฟต้นและร้านอาหารไทยของเขาประสบความสำเร็จและยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะการลงมือทำตามความฝันและกำหนดเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างชัดเจน พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจดี ๆ ให้กับเชฟรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจเลือกเดินทางในสายอาชีพนี้
“ผมเชื่อว่าทุกคนที่มาทำอาหารมีแพชชั่น แต่ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้มีความแตกต่าง อาจเป็นเรื่องของความฝันและจุดมุ่งหมายที่มันใหญ่มาก เป้าหมายของผมคืออยากทำให้อาหารไทยได้ไปยืนอยู่ในระดับสูง ๆ ของโลกจริง ๆ แล้วผมก็คิดแค่นั้น ตั้งแต่เปิดร้านมา สิ่งที่คิดอย่างเดียวคือสิ่งนี้ ทุกอย่างที่ประสบความสำเร็จมา ที่ทุกคนบอกว่าผมประสบความสำเร็จมาจนถึง ณ จุดนี้ มันมาจากแค่ความคิดเดียว ว่าเราทำยังไงดีให้อาหารไทยพัฒนามากขึ้น และทุกคนในโลกยอมรับอาหารไทยว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดในโลก และผมก็มองแค่จุดนั้นจุดเดียว ผมไม่รู้ว่ายังไงแต่ผมจะหาทางไปให้ถึง และระหว่างทางที่พยายามใฝ่หาทางไปให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือความสำเร็จ ซึ่งสุดท้ายแล้วสำหรับผมมันก็ยังมีจุดมุ่งหมาย มีมิชชันที่ใหญ่ขึ้นอยู่ดี อาจจะได้สเต็ปนึงแล้วแต่ว่าผมว่ามันยังมีมากกว่านี้อีก และนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำ"
ความสุขของ (การเป็น) เชฟ (อาหารไทย)
สำหรับเชฟรุ่นใหม่ที่กำลัง (ตัดสินใจ) เดินบนเส้นทางของการทำอาหารไทย เชฟต้นได้ฝากข้อคิดดี ๆ ทิ้งท้ายไว้ให้กับผู้ที่มีความฝันและลงมือทำอย่างตั้งใจจริงว่า “ความสุขของผมในการเป็นเชฟก็แน่นอนว่าคือการได้เห็น ได้ทำงานกับทีมงาน ได้เห็นทีมงานเราเติบโตขึ้น ได้เห็นบุคลากร ทีมงานเราที่เคยทำงานกับเราเติบโตไปในสายอาชีพเชฟหรือสายอาชีพบริการที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น เหมือนเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยหว่านเพาะพันธุ์เมล็ดพันธุ์ที่ดีให้กับวงการอาหารไทย นี่คือสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกมีความสุขตลอด และสิ่งสุดท้ายที่อยากเห็นมากที่สุดก็คืออยากให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยเราเอง คนรุ่นใหม่เราเอง หรือคนต่างชาติ มีความรักในอาหารไทยมากขึ้น เพราะสิ่งนี้คือความสุขสำหรับผมในฐานะเชฟครับ”
“ต้องยอมรับว่าสายอาชีพเชฟ สายอาชีพการบริการ สายอาชีพร้านอาหารเป็นอาชีพที่เหนื่อย และยิ่งตอนนี้ที่ด้วยสภาพเศรษฐกิจหรืออะไรหลาย ๆ อย่างก็ตามมันทำให้ยิ่งไม่ง่ายขึ้น แน่นอนว่าทุกคนก็เหนื่อย ซึ่งถ้าใครกำลังรู้สึกเหนื่อยและท้อกับงาน ผมมีเทคนิคที่หยิบมาใช้เวลาที่รู้สึกเหนื่อยมาก ๆ ต้องเดินทางมาก ๆ ไม่อยากทำแล้วหรืออะไรทำนองนี้ว่า ลองคิดไปถึงวันแรกที่ตัดสินใจมาทำอาหารหรือตัดสินใจมาทำร้านอาหารพอแล้ว ถ้าเรายังจำความรู้สึกวันแรกในวันนั้นได้ว่าทำไมเราถึงเลือกเดินสายอาชีพนี้ มันจะทำให้เรามีแรงสู้ต่อ ผมคิดว่าเทคนิคนี้น่าจะใช้ได้กับทุกคนและทุกอาชีพครับ”
“ผมมองว่าสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครก็ตาม จะเป็นผมหรือจะเชฟคนไหน ในสายอาชีพเชฟมันก็คงมีขึ้นมีลง แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนเห็นตรงกันก็คือว่าเราต้องทำงานร่วมกันยังไง ทำยังไงให้เราช่วยกันผลักดันอาหารไทยให้ไปถึงที่ที่เราสมควรจะได้รับ ซึ่งก็คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดในโลก”
ด้วยความรักในการทำอาหารไทยจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงทุกวันนี้ การเป็นเชฟสายอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่งของ ‘เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร’ ได้พาเขาเดินทางไกลบนเส้นทางนี้มานับสิบกว่าปี เรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งในฐานะเชฟและเจ้าของร้านอาหารไทยต้นแบบที่นำพาอาหารไทยไปสู่เวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ สมความตั้งใจอันดีที่อยากให้อาหารไทยเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดในโลก หากใครที่อยากสัมผัสความอร่อยผ่านรสมือของเชฟต้นสักครั้งแล้วละก็ อย่าลืมหาโอกาสไปเปิดประสบการณ์ทานอาหารไฟน์ไดน์นิ่งที่ร้าน Nusara - นุสรา รับรองว่าจะต้องประทับใจในรสชาติอาหารและบรรยากาศอันแสนคลาสสิกไปพร้อม ๆ กันได้แบบไม่รู้ลืม!
Nusara - นุสรา
336 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เปิด วันพุธ-จันทร์ (ปิดวันอังคาร) เวลา 17.00-21.00 น.
สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ทาง www.nusarabkk.com/reservation
โทร. 09-7293-5549
www.nusarabkk.com
www.facebook.com/nusarabkk
www.instagram.com/nusarabkk