ขึ้นแท่นเป็น Food Heaven แห่งใหม่ที่ดีที่สุดในย่านพระราม 2 กับ ‘Tree Chamber’ โซนใหม่ล่าสุดของ Central Rama 2 ที่ขนทัพร้านอาหารระดับมิชลินและสตรีทฟู้ดชื่อดังกว่า 300 ร้าน มารวมไว้ในที่เดียว! ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Infinite Taste” รวมความอร่อยใหม่ไม่สิ้นสุด โดยไม่ต้องเข้าเมืองก็อร่อยได้ทุกมื้อตลอดปีไม่มีซ้ำกับอาหารร้านชื่อดังมากมาย ซึ่งตอบรับกับ Urban Lifestyle ครบครันทุกความต้องการ พร้อมให้คุณมาสัมผัสประสบการณ์ความอร่อยที่สมบูรณ์แบบที่สุดในย่านพระราม 2
สำหรับโซน ‘Tree Chamber’ มาพร้อมบรรยากาศสบาย ๆ ด้วยการออกแบบเพดานสูงโปร่งกว่า 9 เมตร โดดเด่นสะดุดตาด้วยการตกแต่งอย่างหรูหราที่ประดับประดาไปด้วยโลหะสีเหลืองทองพร้อมสถาปัตยกรรมโค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะทำให้ทุกคนประทับใจทันทีที่ก้าวเข้ามา นอกจากนี้ยังสัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายสบายตาด้วยมุมน้ำตกและต้นไม้ พร้อมให้ทุกคนได้มาอิ่มอร่อยท่ามกลางบรรยากาศแบบ Shopping Boulevard ฟีลเหมือนอยู่เมืองนอก
นับเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเหล่านักชิมเลยก็ว่าได้ ซึ่งทุกคนจะได้พบกับร้านอาหารชื่อดังที่คัดสรรมามากมาย นับตั้งแต่ร้านอร่อยในตำนาน, ร้านดังในกระแสติดเทรนด์ ไปจนถึงร้านระดับมิชลินไกด์ ไม่ว่าจะเป็น Mo-Mo-Paradise, เนื้อแท้, Camin Cuisine & Cafe, The Ramyeon by The Bibimbab, IPPUDO, Salad Factory, Thai Thai Boat Noodle, KOBE Steakhouse, SSamthing Together, Bonchon, After You, Swensen’s, Ben’s Cookies, Brew Bar, Van Hart, Ang Bao, GAGA, The Alley, Pang Cha และร้านดังระดับโลกที่สาย Foodies ไม่ควรพลาดกับ Hai Di Lao, Sushiro และอื่น ๆ อีกมากมาย
The Ramyeon by The Bibimbab
มาเริ่มต้นความอร่อยกันที่ The Ramyeon by The Bibimbab ร้านอาหารเกาหลีที่อยากส่งต่อวัฒนธรรมอาหารเกาหลีแท้ ๆ แบบออริจินัลให้ทุกคนได้ลองทานผ่านหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นข้าวยําเกาหลี ซุปเกาหลี และรามยอนที่มีให้เลือกกว่า 20 เมนู ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น ปรุงรสโดยมาสเตอร์เชฟของประเทศเกาหลีที่รังสรรค์และชูรสชาติวัตถุดิบจากการคิดค้นสูตรลับเฉพาะไม่เหมือนใคร ให้ความรู้สึกเหมือนบินไปทานที่เกาหลีเลยก็ว่าได้
แนะนำเมนูแรกอย่าง Gimmari (80 บาท) หนึ่งในเมนูอาหารเกาหลีที่คนมักนิยมทาน โดยเป็นโรลสาหร่ายห่อวุ้นเส้นที่ทอดออกมาจนได้ความกรอบแบบพอดี ผสมผสานกับวุ้นเส้นข้างในที่มีความเหนียวนุ่มกำลังดี เมื่อทานคู่กับซอสยิ่งช่วยเพิ่มความหอมกลมกล่อมให้อร่อยมากยิ่งขึ้น
ตามด้วยอีกหนึ่งเมนูแนะนำที่ต้องลองอย่าง Jumeokbab (60 บาท) ข้าวปั้นเกาหลี มีความพิเศษอยู่ที่ข้าวเม็ดนุ่มละมุน ปรุงรสกลมกล่อมด้วยน้ำมันงาที่ผสมผสานรสชาติด้วยปลาแห้งเกาหลี ก่อนที่จะคลุกด้วยสาหร่ายปิดท้าย เป็นเมนูทานง่าย ให้รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม แบบลงตัว
มาถึงเมนูสุดพิเศษอย่าง Bacon Bibim Ramyeon (169 บาท) รามยอนแห้งแบบเย็น โดดเด่นด้วยเส้นเหนียวนุ่มชุ่มซอสทุกคำ ท็อปด้วยไข่ต้มและเบคอนกรอบหอมกลิ่นกระทะให้ทานคู่กัน เต็มไปด้วยรสชาติความอร่อยแบบต้นตำรับเกาหลีแท้ ๆ
ปิดท้ายกันที่เมนู Sundubu Ramyeon (179 บาท) เมนู Recommend ของทางร้าน ให้รสชาติเข้มข้นจัดจ้านด้วยสูตรลับมาสเตอร์เชฟเกาหลี เป็นการผสมผสานที่ลงตัวพอดีระหว่างเส้นเหนียวนุ่มและน้ำซุปเข้มข้น ทานคู่กับเต้าหู้และเครื่องซีฟู้ดที่เสิร์ฟมาให้แบบจัดเต็ม
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/thebibimbab
Sushiro
ส่วนใครเป็น Sushi Lovers ต้องห้ามพลาดมาลิ้มลองความอร่อยของซูชิอันดับ 1 จากประเทศญี่ปุ่นอย่าง Sushiro ที่มีมากกว่า 600 สาขาในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงอีกหลากหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี และไทย โดยมาพร้อมความตั้งใจที่อยากจะให้บริการซูชิแบบต้นตำรับตามมาตรฐานเดียวกันกับญี่ปุ่นในราคาที่คนไทยเข้าถึงได้ ที่คุณต้องตื่นตาตื่นใจไปกับซูชิรูปแบบสายพานที่มีให้เลือกทานกว่า 100 รายการ โดยคัดสรรเฉพาะวัตถุดิบคุณภาพและสดใหม่ นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารทานเล่น ของหวาน และเครื่องดื่มอื่น ๆ ให้เลือกทานอีกมากมาย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่น สบาย ๆ และเป็นกันเอง
แนะนำเมนู มากุโระหมักซอสโชยุ (40 บาท) หน้าซูชิที่คนญี่ปุ่นนิยมทานกันมากที่สุด โดยเป็นเนื้อปลาทูน่าที่แล่ออกมาได้หนาพอดีคำ ก่อนจะนำไปหมักซอสโชยุเพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติกลมกล่อม ท็อปบนข้าวนุ่มละมุนที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
สำหรับใครที่ชอบทานแซลมอน ต้องห้ามพลาดกับ ท้องแซลมอนย่างกับหัวไชเท้าขูด (40 บาท) เนื้อส่วนท้องของปลาแซลมอนที่มีความมัน นำมาเบิร์นไฟนิด ๆ จนได้ความหอม เสิร์ฟพร้อมหัวไชเท้าขูด ทานคู่กับข้าวนุ่ม ๆ ให้รสชาติแบบญี่ปุ่นเต็ม ๆ คำ
ตามด้วย ฮามาจิ (60 บาท) ปลาฮามาจิสดใหม่ที่นำเข้าในไทยจากประเทศญี่ปุ่น โดยนอกจากความแน่นของเนื้อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของปลาชนิดนี้แล้ว ยังแทรกไปด้วยไขมันดี เป็นจานที่ให้สัมผัสกรุบกรอบและเนื้อนุ่มหวาน เมื่อผสมผสานกับข้าวนุ่มละมุนก็ได้ความอร่อยแสนลงตัว
อีกหนึ่งเมนูสุดพิเศษที่ห้ามพลาด ขอยกให้กับ โอโทโระคัดพิเศษ (120 บาท) เนื้อส่วนท้องติดมันของปลาทูน่า ที่ถือได้ว่าเป็นส่วนที่ดีและอร่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นส่วนที่สะสมไขมันมากที่สุด จึงทำให้มีความนุ่มละมุน รสชาติหวาน และละลายในปาก
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/SushiroThailand
ไทยไทย - Thai Thai Boat Noodles
มาถึงอีกหนึ่งร้านแนะนำอย่าง ไทยไทย - Thai Thai Boat Noodles ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือรสชาติจัดจ้านตามแบบฉบับต้นตำรับก๋วยเตี๋ยวเรือโบราณ โดยมีเมนูให้เลือกทานกันหลากหลาย นับตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ไปจนถึงเมนูอาหารไทยที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยรสชาติเข้มข้น สมกับความเป็น ‘ไทย’ ที่ต้องถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน มาพร้อมบรรยากาศอบอุ่น สบาย ๆ อันเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ตกแต่งเอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยม
เริ่มต้นความอร่อยด้วยเมนูทานเล่นอย่าง แอพพิไทเซอร์ 4 อย่าง (155 บาท) ประกอบไปด้วยเกี๊ยวหมูทอด, ไก่ทอด, เอ็นข้อไก่ทอด และลูกชิ้นปลาระเบิด ที่ทอดจนได้ความกรอบและสีเหลืองทองน่ารับประทาน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มหวาน ทานแล้วช่วยเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี
ถัดมาที่ ยำคอหมูทอด (259 บาท) คอหมูที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นอย่างดี ก่อนที่จะนำไปหมักด้วยเครื่องเทศนานกว่า 16 ชั่วโมง แล้วทอดจนได้ความกรอบนอกแต่ยังคงความนุ่มชุ่มฉ่ำข้างใน จากนั้นจึงนำไปคลุกเคล้าความอร่อยด้วยน้ำยำสูตรเฉพาะรสจัดจ้าน ผสมผสานความหอมด้วยเครื่องเทศสมุนไพรต่าง ๆ ให้รสชาติเปรี้ยว หวาน กลมกล่อมแบบลงตัว
ส่วนใครมองหาเมนูอาหารจานเดียว แนะนำ ข้าวกะเพราหมูตุ๋น (159 บาท) เมนูซิกเนเจอร์พิเศษด้วยหมูที่ทางร้านใช้เวลาตุ๋นนานกว่า 15 ชั่วโมง จนได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุนละลายในปาก ก่อนจะนำมาผัดคลุกเคล้ารสชาติเผ็ดจัดจ้านด้วยใบกะเพรา ราดบนข้าวสวยร้อน ๆ ให้ทานพร้อมกัน จับคู่กับ กากหมูกระเทียม (50 บาท) ที่เจียวกันแบบสดใหม่วันต่อวัน ช่วยเสริมความอร่อยได้อย่างเข้ากัน แนะนำให้ทานพร้อมเครื่องดื่มสมุนไพรไทยอย่าง น้ำใบเตย (65 บาท) ที่ทางร้านคั้นแบบสดใหม่ ให้รสชาติหอมหวานเย็นชื่นใจ
มาถึงเมนูไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้ สำหรับ ก๋วยเตี๋ยวเรือหมูคุโรบุตะ หมูตุ๋น (299 บาท) ก๋วยเตี๋ยวเรือสูตรต้นตำรับโบราณ โดดเด่นด้วยน้ำซุปรสเข้มข้น กลมกล่อม แต่เผ็ดจัดจ้าน ที่ใช้เวลาเคี่ยวนานกว่า 6-10 ชั่วโมง เสิร์ฟมาพร้อมเส้นมันญี่ปุ่นที่มีความเหนียวนุ่มกำลังดี นอกจากนี้ยังพิเศษด้วยหมูตุ๋นนุ่มละมุนและหมูคุโรบุตะนำเข้าจากญี่ปุ่น ที่คุณจะได้เต็มอิ่มและเพลิดเพลินไปกับรสชาติในทุก ๆ คำที่ทาน จับคู่ความอร่อยกับ น้ำอัญชันมะนาว (65 บาท) ที่ครบรสทั้งเปรี้ยวและหวาน ช่วยตัดเลี่ยนระหว่างทานได้เป็นอย่างดี
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/thaithaiboatnoodles
เนื้อแท้
เหล่า Beef Lovers ต้องห้ามพลาดกับ เนื้อแท้ ร้านอาหารของศิลปินระดับตำนานอย่าง ‘คุณโต-วีรชน ศรัทธายิ่ง’ อดีตนักร้องนำวง Silly Fools ร่วมกับ ‘คุณนภศูล รามบุตร’ ที่ร่วมกันประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเนื้อวัวออสเตรเลียภายใต้บริษัท Company B โดยได้นำเข้าวัวสายพันธุ์ Drought Master จากประเทศออสเตรเลียมาเลี้ยงที่ประเทศไทย พร้อมใส่ใจด้วยการเลือกใช้อาหารในการขุนให้ตรงกับความต้องการตามสายพันธุ์วัว เพื่อดึงศักยภาพของเนื้อวัวให้โดดเด่นอย่างเต็มที่ นำมาสู่ร้านเนื้อคุณภาพดีที่มีรสชาติความอร่อยของเนื้อแท้ ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครให้ทุกคนได้ลิ้มลอง
สำหรับเมนูแรก ขอแนะนำ ข้าวกะเพราเนื้อบด (140 บาท) ผัดกะเพราที่คลุกเคล้าความอร่อยด้วยเนื้อบดที่มีความพิเศษอยู่ที่การขุนวัวด้วยอาหารชั้นยอดถึง 7 ชนิด ทำให้เนื้อมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานกับการปรุงรสเข้มข้นจัดจ้านตามแบบฉบับของเนื้อแท้ จนได้ข้าวผัดกะเพราเนื้อที่ครบรสถึงเครื่องถึงใจ
สำหรับใครที่อยากลิ้มลองความอร่อยแปลกใหม่ แนะนำ ข้าวหมกมันดี้เนื้อตุ๋น (155 บาท) ข้าวบาสมาติหรือข้าวสายพันธุ์อินเดีย ที่นำมาหุงพร้อมกับเครื่องเทศสูตรเฉพาะของเนื้อแท้ โดยไม่ทิ้งความเป็นเมนูข้าวมันดี้ที่ชาวอาหรับคุ้นเคย แต่ปรับเปลี่ยนรสชาติให้ถูกปากคนไทยมากยิ่งขึ้น ในส่วนของแกงพิเศษด้วยการนำเนื้อออสเตรเลียขุนด้วยธัญพืชไทยมาตุ๋นกับเครื่องเทศตามสไตล์อินเดียที่ผสมผสานความเป็นไทยเข้าไป เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับไก่ย่างที่ให้กลิ่นหอมไหม้เบา ๆ ของเครื่องเทศ พร้อมกับสลัด น้ำจิ้ม และซุปสูตรพิเศษ
อีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ที่ห้ามพลาด ต้องลอง เกาเหลาหม้อไฟเนื้อ (205 บาท) พิเศษด้วยน้ำซุปเข้มข้มสูตรเฉพาะที่ใช้เวลาคิดค้นเกือบ 2 ปี โดยใช้ยาจีนเป็นตัวชูความเป็นก๋วยเตี๋ยวในแบบที่เราคุ้นเคย แต่วัตถุดิบหลักที่ทำให้น้ำซุปของเนื้อแท้ไม่เหมือนใคร คือ ‘ไขข้อกระดูกวัว’ ที่ทางร้านรีดเอาความหอมจากไขข้อกระดูกวัวมาปรุงน้ำซุปอย่างพิถีพิถันในแบบที่ลงตัวที่สุด ทำให้ได้ความหอมไหม้ของไขข้อกระดูกวัวผสมผสานกับความหอมของยาจีนในรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม เสิร์ฟมาให้ทานพร้อมเนื้อเน้น ๆ ตามคอนเซ็ปต์ของเนื้อแท้
ปิดท้ายกันที่ Special Menu อย่าง ชุดเนื้อแท้เสืออีสาน (410 บาท) เนื้อออสเตรเลียส่วนเสือร้องไห้ ที่ถือว่าเป็นส่วนที่ติดมันมากที่สุด เมื่อนำมาย่างด้วยถ่านหินลาวาจะทำให้ได้กลิ่นหอมเป็นพิเศษ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ดของทางร้าน ทานคู่กับข้าวเหนียวร้อน ๆ และส้มตำไทยอีสานรสชาติจัดจ้านกำลังดี เป็นอีกหนึ่งเมนูที่แนะนำว่าต้องลอง
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/Nuatair
Pang Cha
พลาดไม่ได้กับคาเฟ่ขนมหวานยอดฮิตจากชาไทยที่โด่งดังไปไกลระดับโลกอย่าง Pang Cha หรือ “ปังชา” ที่แตกไลน์มาจากร้านอาหารลูกไก่ทอง การันตีความอร่อยด้วยรางวัล Michelin Guide 4 ปีซ้อน พร้อมนำเสนอเครื่องดื่มและขนมหวานที่ทำจากชาไทยเป็นส่วนผสมหลัก โดยคิดค้นสูตรขึ้นมาอย่างพิถีพิถันโดย ‘คุณแก้ม กาญจนา’ ด้วยการคัดสรรใบชาทั้ง 5 ชนิด มาเบลนด์รวมกันแล้วคั่วอบแบบดั้งเดิม ก่อนจะเพิ่มเติมด้วยศิลปะการต้มใบชาแบบโบราณ เพื่อให้ได้รสชาติเข้มข้น หอม หวาน มัน ของชาไทยแท้ ๆ ที่ไม่ว่าใครทานก็ต้องถูกใจ
แน่นอนว่าเมนูที่ทำให้หลายคนประทับใจในความอร่อย คงจะหนีไม่พ้น ปังชา (335 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ที่เป็นเอกลักษณ์อันคุ้นหูคุ้นตาด้วยน้ำแข็งไสที่ราดมาด้วยสีส้มของชาไทย เสิร์ฟมาในถ้วยใหญ่ จัดเต็มความอร่อยด้วยท็อปปิ้งหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ขนมปัง เฉาก๊วย ไข่มุกแก้ว ไข่มุกชาดำ และไข่มุกชาไทย เต็มไปด้วยรสชาติหอม เข้มข้น เย้ายวนใจ จนได้รางวัล Michelin Guide ที่ทำให้ปังชาได้กลายเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน
อีกหนึ่งเมนูที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ขอแนะนำ โรตีฝรั่งเศส + ไอศกรีม (295 บาท) โรตีที่พิเศษด้วยกรรมวิธีนวดแป้งสาลีจนนุ่ม ก่อนจะนำไปทอดด้วยเทคนิคไม่อมน้ำมันจนด้านนอกมีความกรอบ แต่ด้านในยังนุ่มฟู แล้วราดด้วยชาไทยนมข้นที่ทางร้านทำเอง ให้สัมผัสถึงกลิ่นหอมของเนยสดและชาไทยได้เป็นอย่างดี เคียงมาให้ทานคู่กับไอศกรีมวานิลลาและวิปครีมนุ่มละมุน
มาถึงเมนูเครื่องดื่มที่แนะนำว่าต้องลอง คือ ชาลูกไก่ทอง + ไข่มุก 3 ชาติ (165 บาท) อีกหนึ่งเมนูขายดีเจ้าของรางวัล Michelin Guide โดยเป็นชาไทยปั่นที่ให้รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม หอมมัน พร้อมเพิ่มรสสัมผัสเหนียวนุ่มด้วยเฉาก๊วย ไข่มุกชาดำ และไข่มุกชาไทย ให้เคี้ยวแบบเพลิน ๆ
ปิดท้ายด้วยเมนูใหม่ล่าสุด ต้อนรับสาขาน้องใหม่ที่ Central Rama 2 โดยเฉพาะกับ วิปปิ้งมูสชาไทย (165 บาท) ชาไทยที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน พิเศษด้วยการนำมาครีเอตเป็นวิปครีม ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนพร้อมกลิ่นหอมของชาไทย โดยมีท็อปปิ้งให้เลือก 3 แบบด้วยกัน คือ มิลล์คาเวียร์ ดาร์กช็อกคาเวียร์ และพิงค์โกโก้คาเวียร์ ช่วยเพิ่มความกรุบกรอบให้เมนูนี้อร่อยมากยิ่งขึ้น
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/PangchaThaiteaCafe
จบปัญหาเวลาคิดไม่ออกว่าวันนี้จะทานอะไรดี ลองแวะมาที่ ‘Tree Chamber’ โซนใหม่ล่าสุดของ Central Rama 2 ที่รวบรวมร้านอาหารชื่อดังมากมายมาให้คุณได้ลิ้มลอง พร้อมพบกับโปรโมชันสุดพิเศษ! ทานอาหารจากร้านค้าภายในโซน รับฟรีคะแนน The1 ซึ่งทุก ๆ 25 บาท จะได้รับ 1 คะแนน และแจกฟรีรวมกว่า 2,400,000 คะแนน ตั้งแต่วันนี้ - 15 ธันวาคม 2565 โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.facebook.com/CentralRama2Fanpage