ย่านเมืองเก่าหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ต่างกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านการอนุรักษ์บ้านเรือนและรีโนเวทอาคารเก่าแก่ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ใครจะรู้ว่าตึกเก่าที่เราผ่านไปมากันอยู่บ่อย ๆ จะมีเรื่องราวความรุ่งเรืองที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น และความงดงามของสถาปัตยกรรมตามยุคสมัยซ่อนอยู่ BKK. ขอเล่าเรื่องราวความเก๋าของตึกเก่าทั้ง 7 แห่ง ที่เปลี่ยนโฉมเป็นคาเฟ่คลาสสิก พร้อมพาคุณไปเปลี่ยนบรรยากาศ ร่วมย้อนเวลาไปกับตึกแถวอันทรงคุณค่าทันทีที่เปิดประตูเข้าไป
เริ่มกันที่โลเคชันแรกอย่าง Buddha & Pals คาเฟ่แอนทีคที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกแถวโบราณย่านนางเลิ้งที่มีอายุกว่า 80 ปี ตกทอดความคลาสสิกผ่านประวัติและเรื่องเล่าของผู้เป็นเจ้าของจากรุ่นสู่รุ่น นับตั้งแต่ 'ท่านหลวงสิทธื์ โยธารักษ์' หมอยาที่มีชื่อเสียงในอดีต ผู้คิดค้นต้นกำเนิด 'ยาประสระนอแรด หรือน้ำมันมวย' ที่หลายคนอาจคุ้นหูหรือรู้จักกันเป็นดี เพราะที่นี่เคยเป็นโรงงานผลิตน้ำมันมวยมาก่อนนั่นเอง
FULL REVIEWต่อมาอาคารหลังนี้ถูกเปลี่ยนกิจการไปหลายรูปแบบ ทั้งร้านสูท ร้านเครื่องประดับ จนกระทั่งถึงโอกาสอันดีที่ทายาทโรงงานน้ำมันมวยรุ่นที่ 4 และ คุณแมค - ภีระสิทธิ์ สีมูลเสถียร ได้สิทธิ์ทำการค้าจากสำนักทรัพย์สินฯ จึงร่วมกันสานต่อและอนุรักษ์ด้วยการรีโนเวทอาคารเก่าแก่ร่วม 80 ปีหลังนี้ให้กลายเป็นโฮสเทล Kanvela House และร้านกาแฟ Buddha & Pals ในปัจจุบัน
ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการรีโนเวทอาคารหลังนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการขยายกำแพงให้มีพื้นที่ต่อกันเป็นห้องกว้าง พร้อมทั้งรื้อฝ้าเก่าออกให้เหลือเพียงพื้นไม้ชั้น 2 ช่วยให้เพดานดูสูงขึ้นและโปร่งโล่งเย็นสบายทันทีที่เข้ามาภายในร้าน พื้นไม้บางจุดบนชั้น 2 ถูกเจาะให้ต้นไม้ที่ปลูกจากด้านล่างโตขึ้นไปรับแสงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะกระจกใสบานใหญ่หน้าร้านที่สะท้อนแสงไฟจากแชนเดอเลียร์โดดเด่น และสไตล์การตกแต่งแบบ Rustic ที่ผสมผสานเฟอร์นิเจอร์ Vintage แต่ละชิ้นออกมาได้อย่างลงตัว เปลี่ยนภาพให้ตึกเก่าย่านนางเลิ้งแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
มาดื่มด่ำบรรยากาศไปพร้อมกับ Signature Drink สุดพิเศษอย่าง Karnvela 59 (130 บาท) ที่มอบความพิเศษของอเมริกาโนรสเข้มข้น กับความเปรี้ยวอมหวานของน้ำผึ้งและเลมอนได้อย่างเข้ากัน และอิ่มท้องกับเมนู Spaghetti Seafood With Homemade Tomato Sauce (240 บาท) สปาเก็ตตี้สไตล์อิตาเลียนที่เลือกใช้เส้นสปาเก็ตตี้นุ่มแบบโฮมเมด ผัดเข้ากับอาหารทะเลสดใหม่ และซอสมะเขือเทศครีมข้นที่ทำสดใหม่ทุกวันBuddha & Pals
ถนนกรุงเกษม (ใกล้วัดโสมนัสราชวรวิหาร)
เปิดทุกวันตั้งแต่ 09.00 - 18.00 น.
โทร. 06-1585-9283
www.facebook.com/buddhaandpals
Ha Tien Cafe แอนทีคคาเฟ่บรรยากาศดีที่ตั้งอยู่ในซอยประตูนกยูง ย่านท่าเตียน ย่านประวัติศาสตร์สำคัญและชุมชนเก่าแก่บนเกาะรัตนโกสินทร์ ที่มาของชื่อมาจากตำนานเรื่องเล่าของ 'ฮาเตียน’ เมืองท่าทางตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวญวนที่อพยพหนีภัยสงครามจากเว้ กระจายอยู่ทั้งในพระนครและธนบุรี ชาวญวนจึงเรียกชื่อถิ่นฐานนี้ว่าฮาเตียน เนื่องจากภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน และเพี้ยนมาเป็นท่าเตียนในที่สุด
FULL REVIEWจากตำนานเกิดเป็นแรงบันดาลใจเปลี่ยนตึกแถวเก่าย่านท่าเตียนที่เจ้าของเก่าเคยอาศัยอยู่จริง มาตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และของตกแต่งแอนทีคของ คุณเบิร์ด - เอกภพ โกมลชาติ ที่สะสมมาตลอดสิบปี โดยยังคงไว้ด้วยโครงสร้างเก่าแบบโบราณทั้งส่วนคานและผนังตึก เพียงแต่ปรับให้ดูโปร่งและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับท่าเตียนมากยิ่งขึ้น
บริเวณชั้นหนึ่งตกแต่งให้มีกลิ่นอาย Oriental แบบจีนพร้อมมุมของสะสม เช่น กระเป๋าโบราณ ชะลอมที่ดูเหมือนครั้งหนึ่งชาวญวนได้แวะมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้ ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์บาร์ให้สั่งเมนูถูกใจแล้วหามุมที่นั่งได้ตามอัธยาศัย
ชั้นสองถูกเปลี่ยนแนวให้อารมณ์ของความฝรั่งมากขึ้น ด้วยกรอบรูปโบราณที่เก็บภาพประวัติศาสตร์ไว้บนผนังไม้เก่า และมุมผนังสีเขียววางตู้โบราณและสัตว์สตัฟฟ์ไว้เพิ่มความมีชีวิตชีวา ทำให้มุมนี้กลายเป็นมุมซิกเนเจอร์ประจำร้านที่ใครมาก็ต้องจับจองเพื่อจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ไปพร้อมบรรยากาศสุนทรีย์ หากขึ้นบันไดวนขึ้นไปยังชั้นสาม จะพบความโล่งโปร่งสไตล์ Glass House และสวนเล็ก ๆ บนดาดฟ้าให้หลบมุมหลีกหนีความวุ่นวาย
เบเกอรี่และเครื่องดื่มของร้านเน้นเมนูทานง่าย แต่ต้องเข้ามาสัมผัสความอร่อยที่นี่ โดยเฉพาะ Raspberry Chocolate Cake, Cheese Cake และ Carrot Cake (180 บาท) เบเกอรี่ที่เน้นครีมชีสและผลไม้เพื่อสุขภาพ และ Yuzu Splash (95 บาท) อีกหนึ่งเมนูขายดี ที่นำส้มยูซุไปผสมกับน้ำเลมอนและปั่นกับน้ำแข็ง แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นท่ามกลางอากาศร้อน ๆ
Ha Tien Cafe
ซอยประตูนกยูง ท่าเตียน
เปิดทุกวัน 09.00 - 21.00 น.
โทร. 08-1302-0651
www.facebook.com/hatiencafebkk
Rue De Mansri ตึกแแถวสีเหลืองอ่อนคุ้นตาที่ตั้งอยู่บริเวณแยกแม้นศรี ถนนบำรุงเมือง อีกหนึ่งถนนสายเก่าแก่ที่สำคัญของกรุงเทพฯ โดดเด่นด้วยโครงสร้างอาคารอนุรักษ์ 3 ชั้น ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และยังคงเสน่ห์ความคลาสสิกของตัวอาคารไว้ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะรีโนเวทให้กลับมาครึกครื้น ด้วยใจรักในการดื่มกาแฟของ คุณเเทน - ดุษฎี สุวณิชยากุล เป็นคาเฟ่และสตูดิโอถ่ายภาพ โดยนำเอาคำว่า 'Rue De Mansri' ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ‘ถนนแม้นศรี’ มาใช้เป็นชื่อร้านให้ดูมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ตึกเก่าสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมถนนแม้นศรี ล้วนสร้างขึ้นปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งแต่เดิมเป็นบ้านเก่าของคนสมัยก่อนที่ทำกิจการ ‘ไทยการค้า’ มานานกว่า 60 ปี ด้านในยังคงสถาปัตยกรรมและโครงสร้างเดิมไว้ เพียงแต่มีการกะเทาะผนังเผยให้เห็นโครงสร้างอิฐเดิมที่ก่อขึ้นไปเป็นซุ้มสวยงามหลายจุด รวมถึงออกแบบช่องหน้าต่างด้วยลวดลายฉลุด้านบน เพื่อให้ได้รับแสงธรรมชาติและสามารถมองเห็นวิวใจกลางเมืองบริเวณสี่แยกแม้นศรี
ชั้นล่างของคาเฟ่โดดเด่นด้วยประตูหมุนสีเทอร์ควอยซ์บานใหญ่ และเก้าอี้บุหนังสีน้ำตาลดีไซน์เก๋ ส่วนโซนบาร์เล็กที่ซ่อนอยู่ด้านหลังประตู ก็ส่งกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วและเครื่องดื่มกาแฟที่ชงโดยบาริสต้ามากฝีมือ
ชั้น 2 ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และของสะสมสไตล์วินเทจ ซึ่งคุณแทนตั้งใจให้พื้นที่แห่งนี้แฝงไปด้วยกลิ่นอายและบรรยากาศแบบฝรั่งเศส จึงไม่แปลกนักหากชื่อร้านของที่นี่จะเลือกใช้ภาษาฝรั่งเศส อีกทั้งยังมีอุปกรณ์ให้เช่าสำหรับถ่ายภาพในสตูดิโออีกด้วย เช่น ไฟสตูดิโอ ฉากพื้นหลัง ขาตั้งกล้อง ฯลฯ สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการ
คนที่หลบร้อนมามาแวะพักที่ตึกเก่าแห่งนี้ แนะนำให้ลองสั่ง Hot Marocchino (60 บาท) กาแฟสูตรดั้งเดิมจากอิตาลีที่ผสมผสานความเข้มข้น กลมกล่อมของโกโก้ นม และ Espresso Shot จากเมล็ดกาแฟไทย ต่อด้วย Black Cocoa Mint (75 บาท) โกโก้เข้มข้นที่ผสมมิ้นต์ออกมาเป็นเลเยอร์สีสวย พร้อมกลิ่นหอมของมิ้นต์ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น เป็นหนึ่งในเมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมของทางร้าน
Rue De Mansri Cafe & Studio
แยกแม้นศรี เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
เปิดทุกวัน 07.00 - 17.00 น.
โทร. 08-3158-9999
www.facebook.com/ruedemansri
หากใครผ่านมาแถวเสาชิงช้า คงต้องสังเกตเห็นบ้านหลังเก่าผ่านรั้วไม้ฉลุ บรรยากาศร่มรื่นที่เงียบสงบราวกับไม่มีคนอยู่กันมาบ้าง แต่ครั้งนี้อยากชวนมาแวะทานขนมอร่อย ๆ กันที่ บ้านขนมปังขิง บ้านไม้เก่าตั้งแต่ปี พ.ศ.2456 พร้อมสัมผัสเสน่ห์ของลวดลายและวัสดุหาชมยาก หรือที่เรียกว่า 'เรือนไทย สไตล์ฝรั่ง' ปัจจุบันบ้านไม้เก่าถูกบูรณะสู่ร้านกาแฟกึ่งพิพิธภัณฑ์ที่มีอายุกว่าร้อยปี
FULL REVIEWบ้านขนมปังขิงได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตกในช่วงรัชกาลที่ 4 มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น คือ ลวดลายฉลุที่สวยงามละเอียดอ่อนบนตัวบ้าน มีความคล้ายคลึงกับ 'ขนมปังขิง' หรือคุกกี้ที่ชาวยุโรปนิยมทานในเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน โดยสืบทอดความเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ครั้ง อำแดงหน่าย (สกุลเดิม คือ สกุลพราหมณ์) ภรรยาของรองอำมาตย์โท 'ขุนประเสริฐทะเบียน (ขัน)' ได้ซื้อที่ดินเปล่าขนาด 47 ตารางวา และสร้างเรือนขนมปังขิงขึ้นพร้อมแกะสลักลายไม้วงกลมเขียนว่า ”ขัน” เหนือช่องลมประตูและหน้าต่างของตัวบ้าน
ผ่านการบูรณะซ่อมแซมมาหลายรุ่น ก่อนจะมาเป็นของ คุณธนัชพร คุณารัตนอังกูร (ลูกสาวท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ลูกสาวของขุนประเสริฐทะเบียน) จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรีโนเวทบ้านครั้งใหญ่เพื่อรักษาสภาพของบ้านเอาไว้ให้มากที่สุด ตั้งแต่เนื้อไม้ บานประตูหน้าต่าง และบานกระทุ้ง ล้วนแต่เป็นของเดิมตั้งแต่อดีต รวมถึงผนัง ช่องลม ลายฉลุ ก็ไม่มีการเคลือบสีและขัดสีใด ๆ เพียงแต่ยกฝ้าเพดานให้สูงขึ้นเพื่อให้บรรยากาศปลอดโปร่ง
นอกจากชมความงามของบ้านเรือนไทยสไตล์ฝรั่งแห่งนี้ ที่นี่ยังเน้นเสิร์ฟเมนูขนมไทย ขนมเค้ก และเครื่องดื่มเติมความสดชื่น ขอแนะนำ ชุดบัวทอง (599 บาท) ประกอบไปด้วย ไอศกรีม ขนมไทย 8 ชิ้น เค้ก 2 ชิ้น และชาร้อน 1 กา หรือจะสั่งเป็น ไอศกรีมกะทิ + ลอดช่อง (120 บาท) เสิร์ฟกับน้ำตาลมะพร้าว ก็ทานแล้วหอมชื่นใจไม่แพ้กัน
บ้านขนมปังขิง
ซอยหลังโบสถ์พราหมณ์
เปิดทุกวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 11.00 - 20.00 น.
โทร. 09-7229-7021
www.facebook.com/house2456
ตึกสองชั้นสีเหลืองสไตล์วิกตอเรียนเรอเนสซองซ์ ที่มีกลิ่นอายความคลาสสิก ริมถนนราชวิถีแห่งนี้ เป็นบ้านหลังแรกในประเทศไทยของ อาจารย์ฝรั่งศิลป์ พีระศรี และครอบครัว เมื่อครั้งย้ายมายังสยามประเทศครั้งแรกหลังจากชนะการประกวดการออกแบบเหรียญเงินตราสยามที่จัดขึ้นในยุโรป โดยรับราชการเป็นช่างปั้นประจำกรมศิลปากร กระทรวงวังในสมัยรัชกาลที่ 6
ภายในบ้านหลังเล็ก ๆ นี้ ออกแบบตกแต่งภายใต้โครงสร้างเดิมของบ้านไม้กึ่งปูน หลังคาทรงปั้นหยา และใช้ช่างก่อสร้างชาวต่างประเทศชุดเดียวกับที่สร้างพระที่นั่งอนันตสมาคม เต็มไปด้วยกลิ่นอายความอบอุ่น คลาสสิกและมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มประตู บานหน้าต่างไม้เก่า ไปจนถึงลวดลายประดับอย่างปูนปั้นหรือไม้แกะสลักฝีมือประณีต ปัจจุบันได้รับการบูรณะปรับปรุง และจัดแสดงแกลลอรีผลงานของอาจารย์ศิลป์ พีระศรีและลูกศิษย์บนชั้นสองของบ้าน ในทุกเดือนจะมีนิทรรศการหมุนเวียนกันมาให้ชมอยู่เสมอ
พร้อมดื่มด่ำกับกาแฟชั้นดีที่มีมาตรฐานจาก Craftsman Roastery ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟหลัก ๆ มาใช้ชิมด้วยกัน 4 ชนิดอาทิ Kenya, Costa Rica, Panama และ Geisha Perci ส่วนเมนูเอสเพรสโซ่ก็จะใช้เมล็ดกาแฟจากไร่ห้วยห้า แม่ฮ่องสอน ใครที่มาครั้งแรกแนะนำให้ลอง Latte (110 บาท) ลาเต้เมล็ดห้วยห้าเบลนด์กับกัวเตมาลาและเอธิโอเปีย ที่หอมมันไม่เข้มจนเกินไป
และ Sparkling Tamarind for Baan Ajarn Farang (135 บาท) น้ำมะขามผสมกับน้ำผึ้งป่าออร์แกนิก ท็อปด้วย Pellegrino Sparkling Water จากฝรั่งเศส ให้จิบกาแฟพร้อมเพลิดเพลินไปกับการชมงานศิลป์ในบ้านหลังเก่าแห่งนี้
Craftsman at Silpa Bhirasri’s Place
ถนนราชวิถี เขตดุสิต
เปิดทุกวันเวลา 07.00 - 19.00 น.
โทร. 0-2043-3360
www.facebook.com/craftsmanroastery
เมืองภูเก็ตเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นย่านเก่าที่ยังมีคนท้องถิ่นเดิมอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะตึกรามบ้านช่องและวัฒนธรรมเปอรานากันที่ได้รับอิทธิพลระหว่างจีนกับมลายู ก็ดึงดูดให้อยากเข้าไปทำความรู้จักโดยเฉพาะ Torry’s Ice Cream ร้านไอศกรีมโฮมเมดพรีเมียมใจกลางซอยรมณีย์ ที่ตั้งอยู่บนถนนถลางแห่งเมืองภูเก็ตแห่งนี้เอง ก็เคยเป็นสำนักพิมพ์ผลิตแผ่นพับภาษาอังกฤษชื่อ Art and Culture ที่รวมรวมเรื่องงานศิลปะในภูเก็ตมานานนับ 10 ปี ซึ่งบรรยากาศภายนอกโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสสีชมพูพาสเทล ให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินเล่นชมตึกรามบ้านช่องที่ผสานหลากหลายวัฒนธรรมได้อย่างกลมกลืน
FULL REVIEWด้วยการออกแบบและตกแต่งในสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่เรียงรายตามถนนสายเก่า แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของวัตนธรรมเก่าแก่ ผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างหน้าต่างบานโค้ง ลวดลายบนเสา ลายฉลุบนกำแพง และระเบียงกว้างบนชั้นสองที่แม้กาลเวลาจะผ่านไปก็ยังคงความสง่างามไว้ได้เช่นเดิม
ส่วนบรรยากาศภายในร้านตกแต่งในสไตล์วินเทจ เน้นเฟอร์นิเจอร์สีเข้มขรึม เครื่องทองเหลืองหรูหรา อย่าง กาน้ำชา จานชามต่าง ๆ ที่ทางร้านเลือกหยิบนำมาใช้ ใครที่ชื่นชอบงานสถาปัตยกรรมสวยงาม และบรรยากาศวินเทจในย่านเมืองเก่า คาเฟ่ไอศกรีมแห่งนี้นับเป็นจุดหมายที่ไม่ควรพลาด
ไอศกรีมโฮมเมดที่ทางร้านคิดค้นขึ้นนั้น คุณทอรี่ วงศ์วัฒนกิจ เจ้าของร้าน ตั้งใจทำออกมาในรูปแบบพรีเมียมและให้รสชาติแบบธรรมชาติ ผสมผสานกับรสชาติขนมท้องถิ่นของชาวภูเก็ตให้ได้ลิ้มลอง อย่าง Bi-Co-Moi (95 บาท) อร่อยไปกับไอศกรีมกะทิอัญชัน คู่กับรสชาติของ 'บีโกหมอย' ขนมชื่อแปลกหรือที่เรียกว่าข้าวเหนียวดำของชาวพื้นเมืองภูเก็ต และ Black Sesame Ice Cream & Keemun (95 บาท) ไอศกรีมน้ำเต้าหู้หอมงาดำ และดีต่อสุขภาพ ทานคู่กับขนมขี้มันชิ้นพอดีคำ
Torry's Ice Cream
ซอยรมณีย์ ถนนถลาง จังหวัดภูเก็ต
โทร. 09-4995-9496
เปิดทุกวันจันทร์ - พฤหัส เวลา 11.00 - 18.00 น. และวันศุกร์ - อาทิตย์ 11.00 - 21.30 น.
www.facebook.com/torrysicecream
Simiao Kafei อ่านว่า 'ซึเมี่ยว คาเฟย' ชื่อร้านออกเสียงสำเนียงจีนที่แปลว่า 'ร้านกาแฟข้างวัด' อันเนื่องมาจากอาคารหลังสวยที่ตั้งอยู่ในซอยเฟื่องนครแห่งนี้ มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมจีนมาก่อน รวมถึงโลเคชันที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามวัดราชบพิธฯ ชวนให้ทุกคนออกสำรวจเมืองเก่า สถาปัตยกรรมโบราณอายุอานามกว่าร้อยปีที่ยังงดงามคงความคลาสสิก ดึงดูดสายตาผู้ที่พบเห็นได้ผลักประตูเข้าไปซึมซับบรรยากาศด้านใน
ตัวร้านเผยให้เห็นโครงสร้างเดิมของตัวบ้าน ซึ่งเป็นตึกแถวก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ตามแบบตะวันตกในยุคสมัยรัชกาลที่ 4 ก่อนที่ถนนเจริญกรุง บำรุงเมือง เฟื่องนคร จะถูกตัดผ่านสู่ความเจริญและถูกรีโนเวทใหม่โดยทายาทรุ่นปัจจุบัน เพิ่มความร่วมสมัยจนกลายมาเป็นคาเฟ่สุดชิคในย่านเมืองเก่า แล้วต่อเติม Arcade หน้าบ้านด้วยบานประตูหน้าต่างสีเข้ม เก๋ไก๋ด้วยรถคลาสสิกที่จอดโชว์เป็นซิกเนเจอร์อยู่ประจำหน้าร้าน
ส่วนด้านในถูกตกแต่งให้ได้กลิ่นอายสไตล์ Oriental แบบจีน โดดเด่นด้วยหน้าต่างทรงกลมขนาดใหญ่ และเคาน์เตอร์ดีไซน์แบบตะวันออก พร้อมภาพวาดหญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าที่บรรจงเพนต์ลงบนผนังปูนเปลือย
นอกจากบรรยากาศภายในร้านที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แล้ว เมนูต่าง ๆ ของทางร้านยังเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่เข้ามาในร้านได้สัมผัสถึงความเป็น Simiao Kafei อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ ก๊กเฟย (180 บาท) เครื่องดื่มซิกเนเจอร์เย็นชื่นใจ เหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องดื่มดับกระหายคลายร้อน เพราะแก้วนี้มีส่วนผสมของเก๊กฮวย Cold Brew กับ Black Honey Cold Brew แล้วเพิ่มความกลมกล่อมด้วยรสชาติและกลิ่นหอมของน้ำตาลที่ถูกเคลือบไว้บนปากแก้ว นอกจากนี้ทางร้านยังมีมุมขนมอบสดใหม่ทุกวัน โดยเฉพาะเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง ปังจีบ (85 บาท) ขนมปังกรอบที่นำมาห่อไส้แฮมและชีสแบบไวท์ซอสด้านใน แล้วใช้วิธีจับจีบ อบร้อนจนชีสไหลเยิ้ม ส่งกลิ่นหอมเรียกความหิวได้เป็นอย่างดี
Simiao Kafei
ถนนเฟื่องนคร ฝั่งตรงข้ามวัดราชบพิธฯ
เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 08.00-17.0 น.
โทร. 09-1885-1903
www.facebook.com/simiaokafei