เพราะอาหาร คือรางวัลของชีวิต ครั้งนี้ BKK. ขอชวนทุกคนมาสัมผัสกับช่วงเวลาดี ๆ พร้อมอาหารมื้อพิเศษจาก 5 ร้านอาหารดีกรีรางวัลระดับโลก ทั้งดาวมิชลิน และรางวัล Asia’s 50 Best Restaurants 2022 ที่พร้อมจะพาไปเติมเต็มช่วงเวลาดี ๆ ให้คุณมอบรางวัลสุดพิเศษให้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็น Fine Dining สุดหรูจากฝีมือเชฟชื่อดังที่มาพร้อมรางวัลการันตีคุณภาพ หรือจะเป็นมื้ออาหารสไตล์ไคเซกิที่คุณต้องประทับใจ จะมีร้านไหนตรงใจกันบ้าง มาเลือกปักหมุดร้านตรงใจกันได้เลย
เริ่มต้นกันที่ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Modern Fine Dining ชั้นเลิศมาตรฐานระดับโลกอย่าง Blue by Alain Ducasse ร้านอาหารแห่งแรกในประเทศไทยของ 'อลัง ดูคาส' ที่ได้รางวัลระดับโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Michelin Star รางวัลมิชลิน 1 ดาวจากคู่มือ มิชลิน ไกด์ ฉบับกรุงเทพ พระนครศรีอยุธยา เชียงใหม่ ภูเก็ตและพังงา ประจำปี 2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565 จากคู่มือเล่มแดงของมิชลิน แถมยังคว้ารางวัลล่าสุดพิชิตอันดับที่ 25 ของร้านอาหารที่ดีที่สุดแห่งเอเชียจากเวที Asia’s 50 Best Restaurants 2022 ที่สนับสนุนโดย San Pellegrino และ Aqua Panna มาได้อีกด้วย
โดยรางวัล Asia’s 50 Best Restaurants ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “เอ็กเซกคิวทีฟเชฟวิลฟริด ฮ็อคเกต จาก Blue by Alain Ducasse ได้ผ่านประสบการณ์ฝึกฝนในภัตตาคารและร้านอาหารที่มีชื่อเสียงหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงร้านอาหารระดับตำนานอย่าง Le Louis XV - Alain Ducasse ของโรงแรม Hôtel de Paris ในเมืองมอนติคาร์โล ประเทศโมนาโค เมื่อมาเยือน Blue by Alain Ducasse คุณจะได้สัมผัสผลลัพธ์ของทักษะการปรุงอาหารที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและความมุ่งมั่น พร้อมด้วยการบริการระดับมืออาชีพตามมาตรฐานเหนือระดับของเครือดูคาส”
และด้วยความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ เป็นอีกก้าวที่ Blue by Alain Ducasse สร้างชื่อเสียงระดับโลกแก่ไอคอนสยาม ด้วยการเดินทางตั้งแต่แรกเริ่มที่มีเป้าหมายจะผนึกกำลังแห่งประสบการณ์มื้ออาหารระดับโลกเข้ากับความเป็นไทย ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ และความเป็น Global Destination ของไอคอนสยาม และที่นี่ยังคงรักษาตำรับความอร่อยแบบดั้งเดิมไว้ แล้วผสมผสานวิธีการใหม่ ๆ เข้าไป รวมถึงสร้างสรรค์การเสิร์ฟแบบสมัยใหม่ที่น่าสนใจเพิ่มเข้าไปด้วย นอกจากอาหารจะโดดเด่นแล้ว ทำเลที่ยอดเยี่ยมริมแม่น้ำเจ้าพระยากับวิวพาโนรามาที่สามารถเห็นความสวยงามได้รอบทิศยังถือเป็นอีกจุดสำคัญที่เติมความสมบูรณ์แบบ
เช่นเดียวกับการออกแบบตกแต่งร้านอื่น ๆ ของเชฟ Alain Ducasse สำหรับสาขานี้ยังได้ Jouin Manku สตูดิโอออกแบบชื่อดังจากฝรั่งเศสมาเป็นทีมดูแล โดยต้องการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับทุกคนที่ได้เข้ามาทานอาหารที่นี่ เริ่มจากโซน The Lounge หรือโถงรับรองที่เปิดให้บริการตลอดวัน สำหรับใครที่อยากมานั่งพักจิบเครื่องดื่มหรือทานขนม ในโซนนี้ได้จำลองบรรยากาศอุทยานของพระราชวังแวร์ซายส์ผ่านผนังไม้วอลนัทและโคมไฟที่ซ้อนกันอย่างสวยงาม การตกแต่งภายในอันงดงามของร้านก็ได้รับรางวัล Best of Year Awards ด้านการตกแต่งภายในยอดเยี่ยมสาขาไฟน์ไดนิ่งจากนิตยสาร Interior Design และยังได้รับรางวัล Le France Design 100 รางวัลทรงเกียรติด้านดีไซน์หนึ่งเดียวของฝรั่งเศสเมื่อต้นปี 2565 เพื่อยกย่องผลงานระดับสากลของเหล่าดีไซเนอร์ฝรั่งเศสที่ทำให้วงการดีไซน์ของฝรั่งเศสเป็นที่รู้จักทั่วโลกอีกด้วย
เดินต่อมายังโซน Dining ที่ถูกล้อมรอบด้วยกระจกใสเปิดให้เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามา ตัดกับพื้นและผนังสี Royal Blue ที่ดูสง่างาม เพิ่มความพิเศษด้วยแชนเดอเลียร์สีครีมขนาดใหญ่ที่ออกแบบให้ซ้อนกันเป็นเลเยอร์ โซนที่นั่งที่แบ่งออกเป็นสัดส่วนทำให้นั่งได้สบาย ๆ ไม่อึดอัด และยังมีห้องไพรเวทไว้คอยรับรองสำหรับใครที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย
อาหารของที่นี่จะเป็นสไตล์ Contemporary French Cuisine หรือการนำเสนออาหารฝรั่งเศสในแบบร่วมสมัย ทุกจานล้วนถ่ายทอดผ่านความประณีตและวัตถุดิบชั้นดีที่ถูกคัดสรรมาจากทั่วโลก โดยให้บริการเสิร์ฟทั้งแบบ a la carte, Lunch set (ราคา 2,550++ บาท ต่อ 5 คอร์ส) และ Signature Menu ( 7 คอร์ส ราคา 4,250++ บาท และ 9 คอร์ส ราคา 5,950++ บาท) สามารถเลือกแพริ่งกับไวน์ได้ในราคา 1,150++บาท หรือ รวม Champagne ด้วยในราคา 1,650++บาท
โดยที่มีหลากหลายเมนูไฮไลต์ พร้อมเสิร์ฟความพรีเมียมให้ได้สัมผัสกัน เริ่มจากส่วนของ Starter อย่าง KING CRAB Gold Caviar & Citrus ที่ให้รสสัมผัสสดชื่น ๆ ของยูซุ ท็อปด้วย Gold Caviar from Kaviari House
หรือจะเป็นเมนู Marinated Amberjack ที่เสิร์ฟพระเอกของจานอย่าง Amberjack หรือเนื้อปลาสำลีที่ถูกหมักเข้าผักชีลาว มะกรูด และดอกเกลือ เคียงมากับมันสำปะหลังดอง แอปเปิ้ล และแตงกวา ท็อปด้วย Gin & Tonic Sorbet เคียงมากับซอส Spring Greens, Light Apple Béarnaise
สำหรับจานหลัก ทางร้านแนะนำ Saddle of lamb from Pyrénées with savory, purple artichokes ทางร้านใช้สันแกะจากอำเภอปากช่อง ก่อนจะนำไปเซียร์ เสิร์ฟคู่กับอาร์ติโชคสีม่วงที่ผ่านการทำให้สุกอย่างช้า ๆ และนำไปทำให้กรอบ และราดด้วย Lamb Cooking Jus เนื้อแกะปรุงออกมาได้สุกกำลังดี ไม่มีกลิ่นคาว เนื้อสัมผัสไม่เหนียว
หรือจะเป็น Blue Lobster from Brittany ที่เชฟเลือกใช้ Blue Lobster หรือ Petit Bleu ที่ได้รับการยกย่องว่ามีรสชาติที่ละเอียด รสชาติกลมกล่อม และเนื้อสัมผัสแน่นมาทำการลวกในเนยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมกับ Mille-Feuille ที่เรียงสลับชั้นมาด้วยมันฝรั่ง เบคอน และแอปเปิ้ล ปรุงรสด้วยโหระพาและกระเทียมกงฟี เพิ่มรสชาติให้เข้มข้นขึ้นอีกด้วยซอสไวน์แดง
ปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง Chocolate from our Manufacture in Paris ที่เสิร์ฟช็อกโกแลตของทางร้านที่ส่งตรงจาก Chocolate Alain Ducasse Paris มาพร้อมความเข้มข้นและสัมผัสกรุบกรอบของเฮเซลนัท ปิดท้ายมื้อพิเศษนี้ได้อย่างน่าประทับใจ
Blue by Alain Ducasse
L101, ชั้น 1 โซน ICONLUXE ICONSIAM Shopping Centre
เปิดทุกวัน เวลา 12.00 - 21.00 น. (ปิดวันอังคาร - พุธ)
โทร. 065-731-2346
www.facebook.com/bluebyalainducasse
มาต่อกันที่ประสบการณ์การทานอาหารใต้แบบมิติใหม่กันที่ ศรณ์ ร้านอาหารที่พร้อมให้ซึมซับความเป็นอาหารใต้แท้ ๆ ตามแบบต้นตำรับ ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบขึ้นชื่อประจำท้องถิ่น ซึ่งถูกนำเสนอในรูปแบบของ Fine Dining เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ได้ลิ้มลองความอร่อยของอาหารไทยทุกเมนูอย่างพิถีพิถัน สวนกระแสความเร่งรีบ ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง ให้ได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขบนโต๊ะอาหารร่วมกับคนที่เรารักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ณ ศรณ์ ร้านอาหารใต้ใจกลางย่านสุขุมวิท ที่พร้อมเสิร์ฟตำรับความอร่อยของ คุณยอดขวัญ อยู่พุ่มพฤกษ์ เชฟมากฝีมือที่ใส่ Passion ใส่ใจทุกรายละเอียดของการทำอาหารลงไป สร้างอัตลักษณ์อาหารใต้ให้เป็นที่จดจำว่ามีความน่าสนใจไม่แพ้อาหารสัญชาติใดในโลก การันตีคุณภาพจากการคว้าอันดับ 2 จากรางวัล Asia's 50 Best Restaurants ปี 2022
FULL REVIEWด้วยแรงบันดาลใจในการค้นพบวัตถุดิบท้องถิ่นภาคใต้ที่เริ่มสูญหาย ถูกนำมาครีเอทใหม่สู่เมนูจานหลักอีกครั้ง ด้วยการตามหาวัตถุดิบชั้นเลิศที่เริ่มต้นจากการลงพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด พร้อมนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคนิคปรุงอาหารที่ทันสมัย ให้กลายเป็นเมนูสุดพิเศษที่เสิร์ฟในสไตล์ของ Fine Southern Cuisine คอร์สอาหารใต้แบบเรียงตามลำดับผสานเข้ากับการเสิร์ฟสำรับแบบไทยที่สามารถแบ่งกันทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ได้ด้วย
Fine Southern Cuisine ในแบบของศรณ์ เสิร์ฟในรูปแบบโฮมเมดแท้ ๆ เพื่อให้ทั้งคนทำและคนทานได้ใช้เวลากับอาหารมากขึ้น นับตั้งแต่การปรุงวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน ใช้วิธีแบบโบราณที่หลายคนอาจหลงลืมไปแล้ว ผสานเข้ากับกรรมวิธีการสมัยใหม่ เช่น Gastronomy หรือเทคนิคต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด ผสานเข้ากับกรรมวิธีที่ดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์การปรุงอาหารที่อร่อยมากยิ่งขึ้น โดยเมนูของที่นี่จะถูกปรับเปลี่ยนวัตถุดิบไปตามฤดูกาล โดยครั้งแนะนำ Southern Thai Cuisine Course (2,700 บาท) คอร์สสำรับอาหารใต้ ที่เสิร์ฟให้บริการทั้งหมด 22 เมนู
เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วยไฮไลต์แรกอย่างเมนูทานเล่นกับ Sand Mole Crabs (จั๊กจั่นทะเล) จั๊กจั่นทะเลคั่วพริกเกลือจากหาดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต ที่นำมาทอดในน้ำมันเมล็ดองุ่น ก่อนจะคั่วเข้ากับพริกเกลือ กระเทียมเจียว พริก และหอมจนได้ความกรอบ เสิร์ฟพร้อมผงสาหร่ายขนนก ที่ผ่านการตากแห้ง dehydrate จนเป็นผงมาจิ้มเพื่อช่วยเพิ่มความเข้มข้นให้รสอูมามิ กลมกล่อมแบบธรรมชาติโดยไม่ต้องเติมผงชูรส
ถัดจากเมนูเรียกน้ำย่อยก็ทยอยเสิร์ฟสำรับอาหารปักษ์ใต้ ได้แก่ Fresh Yellow Curry (แกงเหลือง) หรือที่คนใต้นิยมเรียกกันว่า ‘แกงส้ม’ โดยเป็นแกงส้มมังคุดคัดกับปลาแก้วกู่ ใช้พริกแกงโขลกสด ๆ พร้อมใส่มังคุดคัด มังคุดอ่อนหวานกรอบจากหมู่บ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช แกงกับปลาแก้วกู่ย่างเต่าถ่านซึ่งให้ทั้งความมันและความหอม ผสานเข้ากับรสเปรี้ยวอมหวานของน้ำมะขามอ่อนได้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายมื้อแสนอร่อยนี้ด้วย Sweet Until Midnight (ไอติมน้ำเต้าหู้) ไอศกรีมน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ที่ได้ไอเดียมาจากการดื่มน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋เป็นของว่างตอนเช้าและก่อนเข้านอนทุกคืนตามสไตล์ของคนใต้ เริ่มจากการนำถั่วเหลืองไปคั้นน้ำเต้าหู้ ทำเป็นไอศกรีม เสิร์ฟคู่กับปาท่องโก๋สูตรโฮมเมดแบบปราศจากกลิ่นฉุนของแอมโมเนีย แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมจาก ซึ่งเป็นจากที่ปลูกอยู่ริมทะเล ให้รสหวานปนเค็มผสมกันอย่างลงตัว เหมือน Sea Salt Caramel เลยทีเดียว
ศรณ์
56 ถนนสุขุมวิท ซอย 26
เปิดทุกวัน เวลา 12.00 - 14.00 น. และ 18.00 - 23.00 น. ( ปิดวันจันทร์)
โทร. 099-081-1119
www.facebook.com/Sorn-%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-852134098291382
ตามมาด้วย 'IGNIV' หนึ่งในร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งที่น่าจับตามองจาก Andreas Caminada เชฟระดับมิชลินสตาร์ 3 ดาว เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง Schloss Schauenstein ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย 'IGNIV Bangkok' นับเป็นสาขาแรกที่เปิดนอกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยเป็นสาขาลำดับที่ 4 ของโลก
สำหรับสาขาในกรุงเทพฯ แห่งนี้ ตั้งอยู่ในโรงแรมสุดหรู The St. Regis Bangkok ถนนราชดำริ โดยชื่อ 'IGNIV' (อิกนีฟ) นั้นมาจากภาษา Romansh (หนึ่งในภาษาของสวิตเซอร์แลนด์) หมายถึง 'รังนก' ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์หลักของทางร้าน พร้อมต้อนรับทุกคนให้เข้ามาทานอาหารในบรรยากาศสุดอบอุ่นปลอดภัยคล้ายกับอยู่ในรังนกนั่นเอง
FULL REVIEWสาขานี้ได้ Patricia Urquiola ดีไซเนอร์สาวชาวสเปนมาเป็นผู้ออกแบบทั้งหมด โดย Patricia ยังเป็นผู้ออกแบบทุกสาขาของ 'IGNIV' อีกด้วย สำหรับการตกแต่งร้านจะเป็นสไตล์ Modern เน้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้และผ้าเป็นหลัก โดยเลือกโทนสีเขียวสบายตาและลวดลายที่สื่อถึงรังนก มาสร้างบรรยากาศสุดอบอุ่น รวมถึงการจัดแบ่งพื้นที่ที่เป็นสัดส่วนลงตัว ทำให้มีระยะห่างระหว่างโต๊ะกำลังดี ไม่อึดอัด นอกจากนี้ ทางร้านยังมีการนำผลงานศิลปะจากศิลปินต่าง ๆ ส่งตรงจากต่างประเทศมาตกแต่งเพื่อเพิ่มลูกเล่นเก๋ ๆ ให้กับตัวร้านอีกด้วย
สำหรับทุกเมนูอาหารและขนมหวานของที่นี่ ถูกครีเอตและดูแลโดย David Hartwig เชฟหนุ่มผู้ได้ร่วมงานกับเชฟ Andreas มาอย่างยาวนาน และยังผ่านประสบการณ์การทำงานในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ในยุโรปและอเมริกามาหลายที่ และเชฟ Arne Riehn เชฟหนุ่มชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวาน โดยได้รับเลือกจากเชฟ Andreas ให้มารับตำแหน่งผู้ช่วยเชฟและเชฟขนมหวานของที่นี่
ทางร้านนำเสนอคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างจากร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งทั่วไป เน้นการ 'Sharing' หรือการแบ่งปันกันทาน เปรียบเสมือนการแบ่งปันความสุขระหว่างกัน ซึ่งยังเป็นคอนเซ็ปต์ที่เข้ากันได้ดีกับวัฒนธรรมการทานอาหารของคนไทยที่เน้นการทานร่วมกันอีกด้วย โดยอาหารของทางร้านจะเป็นแนว Modern European Cuisine
ในครั้งนี้ทางร้านแนะนำเป็น IGNIV 4 Course Dinner Sharing Experience (3,800++ บาท) เริ่มต้นมื้อนี้ด้วยการเสิร์ฟหลากหลายเมนู Snacks ที่มีทั้ง Tartlette - Mushroom - Truffle ทาร์ตชิ้นพอดีคำ ท็อปหน้าด้วยเห็ดและทรัฟเฟิล, Daikon - Mackerel - Green Pea ของว่างที่ทำจากหัวไชเท้า สอดไส้ด้วยทาร์ทาร์แมคเคอเรล และถั่วแระ, Almonds - Liver - Plum อัลมอนด์เคลือบด้วยฟัวกราส์ ก่อนจะคลุกกับผงบ๊วย, Mango - Cornetto - Chilli โคนขนาดจิ๋ว รสชาติจัดจ้านทำจากมะม่วง สอดไส้ด้วยซอสรสเผ็ดร้อน
ตามด้วย Pork - BBQ - Plum เนื้อส่วนคอหมูนุ่ม ๆ ที่นำไปบาร์บีคิว ซ้อนด้วยพูเรพรุน ท็อปด้วยพลัมรสหวานอมเปรี้ยว ทานคู่กับซอสที่ได้จากเคี่ยวเนื้อหมู ส่วนใครที่ชอบเนื้อ ท
ปิดท้ายด้วย Melon - Pickled - Almonds แตงโมและแคนตาลูปหั่นมาชิ้นพอดีคำ ได้รสหวานเย็นสดชื่น ก่อนจะเพิ่มรสสัมผัสด้วยอัลมอนด์
IGNIV Bangkok
The St.Regis Bangkok
เปิดทุกวัน เวลา 12.00 - 15.00 และ 18.00 - 23.00 น. (ปิดวันจันทร์ - อังคาร)
โทร. 0-2207-7822
www.facebook.com/IGNIVBangkok
มาเปลี่ยนประสบการณ์การทานอาหารญี่ปุ่นในสไตล์ไคเซกิแบบเดิม ๆ แล้วมาลองทานอาหารญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความครีเอทีฟจาก Jeff Ramsey เชฟหนุ่มสัญชาติอเมริกัน-ญี่ปุ่น ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารชื่อดังหลายร้านทั่วโลก และยังได้รับมิชลินสตาร์จากร้านในประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย โดยครั้งนี้เชฟ Jeff Ramsey ได้เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นในสไตล์ไคเซกิรูปแบบใหม่ที่เพิ่มความแปลกใหม่และไอเดียลงไป สำหรับร้าน Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey ตั้งอยู่บนชั้น 3 โซน Epicurean ของ The Athenee Hotel Bangkok
จุดเด่นของอาหารที่นี่อยู่ที่การนำเสนอไอเดียความแปลกใหม่ที่ถูกผสมผสานลงไปในอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมจนกลายเป็นอาหารญี่ปุ่นในสไตล์ของทางร้าน สำหรับเมนูอาหารของที่นี่ จะมีทั้งเมนู A la carte และแบบคอร์ส ซึ่งจะแบ่งเป็นคอร์ส ITO (9 คอร์ส ราคา 2,500++ บาท) และคอร์ส KIN (12 คอร์ส ราคา 4,400++ บาท)
ทางร้านแนะนำเมนูเด่น ๆ อย่าง Alaskan King Crab and Black Truffle Chawanmushi ไข่ตุ๋นเนื้อนุ่มเนียนสไตล์ญี่ปุ่นที่นำไปตุ๋นในอุณหภูมิ 85 องศาเป็นเวลา 14 นาที จนได้เนื้อไข่ตุ๋นที่นุ่มนวลคล้ายคัสตาร์ด ตุ๋นกับเนื้อปูอลาสก้า ราดด้วยซอสที่คล้ายกับซอสเกรวี่ ก่อนจะเพิ่มความหอมด้วยน้ำมันทรัฟเฟิลและทรัฟเฟิล
และอีกเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องพูดถึงของทางร้านอย่าง Kin Kat เมนูที่เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากขนมสุดฮิต Kit Kat ตัวเวเฟอร์ทำจากแป้งขนม Wanaka สอดไส้ครีมฟัวกราส์ผสมกับคอนยัคและมิริน เคลือบด้วยช็อกโกแลต ก่อนจะเสิร์ฟมาในแพคเกจจิ้งสีแดง ความกรอบของเวเฟอร์เข้ากันได้ดีกับความครีมมี่ของฟัวกราส์
และจบด้วยเมนูขนมหวานเย็น ๆ อย่าง Melon ไอศกรีมเชอร์เบทเมลอนรสหอมหวาน ท็อปด้วยโฟมเมลอนผสมกับเลมอน ทานคู่กับเนื้อเมลอนญี่ปุ่นสด ๆ
Kintsugi Bangkok by Jeff Ramsey
ชั้น 3 The Athenee Hotel Bangkok
เปิดทุกวัน เวลา 12.00 - 14.30 น. และ 18.00 - 10.30 น.
โทร. 0-2650-8800
www.facebook.com/kintsugibkk
ปิดท้ายกันที่ Cadence ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งในซอยปรีดีพนมยงค์ที่เกิดจากการต่อยอดความสำเร็จจากเชฟ Dan Bark และทีมงาน หลังจากที่ร้าน Upstairs at Mikkeller ประสบความสำเร็จและคว้าดาวมิชลินมาครอง ครั้งนี้เดินหน้าเพื่อสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ที่สร้างความท้าทายต่อไป จนเกิดเป็น Cadence ที่มีพื้นที่กว้างขวางและหรูหรามากขึ้นกว่าเดิม และแน่นอนว่าที่ร้านแห่งนี้ยังได้บอกเล่าเรื่องราวที่แสดงตัวตนของเชฟให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สำหรับการตกแต่งของที่นี่ จะเน้นให้มีความประณีตและหรูหรายิ่งขึ้น แต่ยังคงบรรยากาศความอบอุ่นเอาไว้ด้วยจำนวนโต๊ะที่มีไม่มากนัก แต่ละโต๊ะถูกออกแบบและจัดวางให้ห่างออกจากกัน เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แต่ละที่นั่ง เลือกใช้สีครีม เทา และสีทอง เพิ่มความสว่างและความหรูหรา ตัดด้วยสีน้ำเงินเข้มสร้างความสมดุลให้ดูลงตัวมากขึ้น นอกจากโซนที่นั่งแล้ว บริเวณครัวเปิดของทางร้านก็น่าสนใจเช่นกัน โดยโซนครัวค่อนข้างใหญ่ เผยให้เห็นเหล่าเชฟที่กำลังสร้างสรรค์อาหารแต่ละจานได้อย่างชัดเจน
สำหรับคอร์สอาหารของที่นี่จะมีทั้งหมด 15 คอร์ส ( 4,300++ บาท) และยังสามารถเลือกแพริ่งกับเครื่องดื่มได้ไม่ว่าจะเป็น ไวน์ (2,600++ บาท) ซึ่งทางร้านได้คัดสรรไวน์จาก Old World อย่างประเทศทางยุโรป และยังเพิ่มไวน์ลิสต์จาก New World อย่างอเมริกาเข้ามาด้วย ส่วนใครที่ไม่ดื่มไวน์ สามารถเลือกแพริ่งกับ ค็อกเทล ( 2,000++ บาท) และ ม็อกเทล (1,000 ++ บาท) ได้เช่นกัน ซึ่งแต่ละแก้วก็ได้คุณ Chris Simon Bar Director มากประสบการณ์มาครีเอตเครื่องดื่มที่เข้ากันได้ดีกับอาหารแต่ละจาน
แนะนำ Caviar คาเวียร์ชั้นดีจากฝรั่งเศส ทานคู่กับพูเรหัวขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celeriac Purée) ที่ทางเชฟเลือกใช้แทนที่มันฝรั่งแบบเดิม ๆให้รสชาติออกมัน ๆ เพื่อชูรสชาติของคาเวียร์ให้เด่นยิ่งขึ้น ตามด้วยขนมปังกรอบและน้ำมันไชฟว์ (Chive) รสเค็มของคาเวียร์เข้ากับรสมัน ๆ ของพูเรได้เป็นอย่างดี
ถัดมากับ Red Shrimp เมนูนี้เชฟได้แรงบันดาลใจจากอาหารญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่จะเป็นซาชิมิทานคู่กับวาซาบิ ซึ่งเชฟได้นำมาดัดแปลงโดยเลือกใช้กุ้งสีแดงอาร์เจนตินาที่ให้รสหวานและเนื้อสัมผัสนุ่มเด้ง เสิร์ฟกับพูเรแนสเทอซัม (Nasturium Purée) และแตงโมที่นำไปคอมเพรส (Compressed เทคนิคการนำผลไม้ใส่ในถุงสูญญากาศเพื่อคงรสชาติและสีสันของผลไม้ไว้ บางครั้งก็นิยมใช้ของเหลวที่มีรสชาติต่าง ๆ มาใส่ลงไปด้วยเพื่อให้เนื้อผลไม้เก็บกักรสชาตินั้น ๆ) กับชาตะไคร้ ทำให้เนื้อแตงโมมีกลิ่นหอมของตะไคร้ ตามด้วยบัลซามิกคาเวียร์เสริมรสเปรี้ยว ก่อนจะราดซอสน้ำนมข้าวคั่ว (Toasted Rice Milk) ให้รสมันผสมกลิ่นหอมของข้าวคั่ว ทำให้ทุกองค์ประกอบของจานนี้กลมกล่อมมากยิ้งขึ้น
ปิดท้ายด้วย Dark Chocolate ขนมที่ถูกตกแต่งมาอย่างสวยงามและประณีต ภายในถ้วยแก้วด้านล่างจะเป็นเนื้อมูสช็อกโกแลต 70% รสเข้มข้น ผสมกับอัลมอนด์พูเร ก่อนที่จะเพิ่มกลิ่นอายของดินผ่านส่วนผสมอย่างบีทรูทและเห็ดทรัฟเฟิล ทางร้านแนะนำให้เอาช้อนเคาะแผ่นน้ำตาลใสตรงกลางลงไป ก่อนจะคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เป็นจานขนมที่สร้างเซอร์ไพรส์จากทั้งรูปแบบการนำเสนอที่งดงามและรสชาติที่เข้ากันได้ดีอย่างน่าประทับใจ
Cadence
225 ซอยปรีดีพนมยงค์ 25
เปิดทุกวัน เวลา 17.00 - 00.00 น. (ปิดวันอาทิตย์ - จันทร์)
โทร. 09-1713-9034
www.facebook.com/CadenceRestaurant