The New Chapter of Chef David Thompson
ใครที่ได้ติดตามวงการอาหารไทยในระดับโลก คงเคยได้ยินชื่อของเชฟ David Thompson เชฟสัญชาติออสเตรเลียน ผู้เคยคว้าดาวมิชลินจากร้าน Nahm และยังได้เปิดร้านอาหารไทยร้านอื่น ๆ ในหลายประเทศด้วย ในครั้งนี้ทางเชฟก็ได้เปิดร้านขึ้นอีกครั้งหนึ่งบนชั้น 5 ของ Central : The Original Store ย่านเจริญกรุง ในชื่อว่า Aksorn (อักษร) โดยได้นำเสนอคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างจากที่เคยทำมาและยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทุกคนที่ได้แวะเวียนไปทานอาหารด้วย
Cozy Vibes at The Original
ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ชัดเจนของโลเคชันตึก Central : The Original ที่เต็มไปด้วยความดั้งเดิมตั้งแต่ยุค 1950's และได้ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ทันสมัยแต่ไม่ทิ้งความเป็นออริจินัล ซึ่งทางร้านก็ได้ต่อยอดคอนเซ็ปต์นี้และนำมาประยุกต์ให้เข้ากับร้าน โดยตัวร้านตั้งอยู่ชั้นบนสุดของตึกทำให้สามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซนไดน์นิ่งและโซนเอาต์ดอร์ได้อย่างเป็นสัดส่วน
จุดเด่นของตัวร้านอยู่ที่ครัวเปิดขนาดใหญ่ที่นำทั้งโซนครัวร้อนและโซนเตรียมอาหารมาไว้ที่เดียวกันซึ่งต่างจากร้านอาหารไทยทั่วไปที่มักจะนำครัวร้อนไว้ด้านนอก สามารถนั่งมองเหล่าเชฟและพนักงานสร้างสรรค์เมนูอาหารไทยต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน สำหรับโซนที่นั่งแม้จะมีไม่มากนักแต่ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วนเช่นกัน ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และไฟโทนส้ม เสริมบรรยากาศให้รู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
ส่วนโซนเอาต์ดอร์จะให้ความรู้สึกสบาย ๆ สามารถนั่งทานอาหารหรือจิบเครื่องดื่มรับลมเย็น ๆ พร้อมชมแสงไฟจากตึกต่าง ๆ ที่รายล้อมในย่านเจริญกรุงแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน
Great Recipes from 1940's-1970's
ทางเชฟได้ตำราอาหารจากหลากหลายตระกูลดังของประเทศไทยในยุค 1940's-1970's และนำเมนูต่าง ๆ ที่ได้จากตำราเหล่านั้นมาถ่ายทอดให้ใกล้เคียงมากที่สุดผ่านฝีมือและประสบการณ์ของเชฟ David Thompson ทำให้เกิดเป็นประสบการณ์การทานอาหารไทยแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวย้อนอดีตในสมัยก่อน
นอกจากนี้ ตำราอาหารในยุคสมัยก่อนนั้นยังเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเสน่ห์และความสามารถเฉพาะตัวของผู้หญิงในยุคนั้นอีกด้วย เพราะแต่ละเมนูแฝงไปด้วยภูมิปัญญาและความพิถีพิถัน ตำราแต่ละเล่มยังเต็มไปด้วยความตั้งใจและความรักที่จะถ่ายทอดให้กับลูกหลานของตระกูลเพื่อเป็นมรดกตกทอดต่อไป
ทางร้านจึงตั้งใจนำเสนอเสน่ห์ปลายจวักเหล่านี้ออกมาให้ใกล้เคียงที่สุด ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบให้ได้ตรงตามตำราไปจนกรรมวิธีการปรุงที่มีการใช้เทคนิคสมัยใหม่เข้ามาแต่ก็จะเน้นผลลัพธ์ให้คล้ายมากที่สุด และจะสับเปลี่ยนเมนูที่นำเสิร์ฟตามตำราจากตระกูลต่าง ๆ ทีละตระกูล เพื่อให้ได้รสชาติและเรื่องราวเป็นเรื่องเดียวกัน
Shall We Begin?
สำหรับเมนูอาหารของที่นี่จะเสิร์ฟเป็นคอร์สราคา 2,800++ บาท ต่อคน โดยครั้งนี้ทางร้านเลือกนำเสนอเมนูจากหนังสือกับข้าวสอนลูกหลาน ผลไม้ ของว่างและขนม ของท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร เป็นลำดับแรก
เริ่มจากเมนูอาหารว่างจานแรกกับ ม้าฮ่อ แตกต่างจากที่อื่น ๆ โดยใช้เป็นเนื้อกุ้งและหมูผสมกับกระเทียมพริกไทย ก่อนจะนำไปปั้นเป็นก้อนและทอด เสิร์ฟบนเนื้อส้มแทนสับปะรดแบบสูตรทั่วไป
ต่อด้วย หมูจ้าง หรือรู้จักในอีกชื่อว่า 'หมูตั้ง' เมนูที่ได้อิทธิพลจากอาหารจีนและอาหารฝรั่งเศส (Galantine) รสออกหวานเค็ม เนื้อหมูหั่นชิ้นต้มกับเครื่องเทศและอัดลงในพิมพ์ ทานคู่กับผักสดและน้ำจิ้มรสหวานเผ็ด
และ ขนมครก ท็อปหน้าด้วยเนื้อหมู ถั่วลิสง และต้นหอม เนื้อขนมครกนุ่มหอมกะทิเข้ากับหน้าหมูได้ดี
สำหรับเมนู Starter กุ้งแนม ที่ใช้กุ้งแม่น้ำสด ๆ มาคลุกเคล้ากับกระเทียมดอง มะกรูด และถั่ว เพิ่มรสชาติด้วยเครื่องยำ เสิร์ฟให้ทานคู่กับใบทองหลางที่ปัจจุบันหาทานได้ยาก ช่วยเสริมรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น
มาถึงเมนูกับข้าวที่เสิร์ฟมาพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ เริ่มจาก แกงเนื้ออร่อยกับถั่วลิสง พริกแกงแดงผัดคลุกเคล้ากับเนื้อวัวและถั่วลิสง เพิ่มรสด้วยส้มซ่าและมะกรูด
ตามด้วย หลนเต้าหู้ยี้ ใบมะตูมแขก ใบมะกอก เต้าหู้ยี้ผสมกับเนื้อหมู กุ้ง และเครื่องเทศ ทานคู่กับใบมะตูมแขกและใบมะกอกที่มีรสออกฝาดและเปรี้ยวแต่เข้ากันได้ดีกับหลน
และ ยามะเขือเผา นำมะเขือเทศไปย่างและนำไปยำจนได้รสชาติจัดจ้านสไตล์ไทย
นอกจากนี้ ยังเสิร์ฟ ผัดไก่กับต้นหอม เนื้อไก่หั่นชิ้นผัดกับต้นหอมและโรยหน้าด้วยพริกสีเหลือง และ ปลาบู่ต้มกระชาย แกงจืดต้มเนื้อปลาบู่กับกระชาย เป็นเมนูที่ได้รสน้ำแกงกลมกล่อม ทานแล้วอุ่นท้องได้ดี
หลังจากอาหารคาวแล้ว แนะนำเมนูขนมหวานที่น่าลองอย่าง ขนมไส่ไส้ เนื้อนุ่ม หอมกะทิ สอดไส้ด้วยมะพร้าวฉีกรสหวาน ตัดกับความเค็มจากกะทิ และ สับปะรดเชื่อม เนื้อสับปะรดเชื่อมจนได้ความฉ่ำหวาน ราดด้วยกะทิชั้นดี
ปิดท้ายด้วย ข้าวเม่าบด ขนมหาทานยาก ทำจากข้าวเม่าและนำมาบด คลุกเคล้ากับมะพร้าว และ ขนมกง ขนมโบราณที่ใช้ในงานมงคล ทำจากแป้งถั่วเขียว โรยด้วยผงซินนามอน เหมาะทานคู่กับชาร้อน ๆ
Must Read!
- แนะนำให้จองล่วงหน้า