Progressive & Borderless Culinary Experience
หากพูดถึง ‘Fine Dining’ หลายคนอาจจะนึกถึงร้านอาหารบรรยากาศหรูหราที่มาพร้อมการบริการแบบเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ Alésia Yu คือร้านอาหาร Fine Dining ของเชฟตี่ ที่พร้อมต้อนรับให้คุณมาเปิดประสบการณ์ความอร่อยของรสชาติอาหารระดับพรีเมียม แต่อบอวลไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยมาพร้อมคอนเซ็ปต์การนำเสนอเมนูอาหารที่ไม่ได้บ่งบอกถึงสัญชาติ แต่เป็นการผสมผสานความเป็นตัวตนของเชฟออกมาได้อย่างน่าสนใจ นำมาสู่ชื่อร้าน ‘Alésia Yu’ ที่มาจาก ‘Alésia’ ชื่อถนนของกรุงปารีสที่เชฟได้ไปเรียนทำขนม มาผสมผสานกับ ‘Yu’ แซ่หรือนามสกุลของเชฟนั่นเอง
Industrial Meets Art Deco
ในส่วนของบรรยากาศร้านถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความผ่อนคลาย สบาย ๆ โดยตกแต่งมาได้อย่างงดงาม นับตั้งแต่ทางเข้าก็ให้กลิ่นอายความเป็นยุโรปได้เป็นอย่างดี ทันทีที่เข้ามาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นด้วยการเปิดรับแสงด้วยกระจกใส ผสมผสานกับการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจอย่าง ‘ตู้เครื่องเสียง’ พร้อมเสริมความเป็น Industrial ด้วยเหล็กและปูนเปลือย แต่ในขณะเดียวกันยังเพิ่ม Element การตกแต่งด้วยโลหะสีทอง ซึ่งสะท้อนกลิ่นอายของศิลปะแบบ Art Deco ไว้ได้อย่างลงตัว
Chef’s Progressive Tasting Menu
สำหรับคอร์สเมนูอาหารจากทางร้าน เป็นการเสิร์ฟแบบ Fine Dining ในคอนเซ็ปต์ ‘Progressive’ ที่ครีเอตแต่ละเมนูออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี ผสมผสานกับเทคนิคและกรรมวิธีที่หลากหลาย เชื่อว่าจะทำให้คุณต้องประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบอย่างแน่นอน
มาสัมผัสรสชาติแห่งความละเมียดละไม ที่มาพร้อมความใส่ใจในทุกรายละเอียดของเชฟผ่าน 10 Courses Menu (3,800 ++ บาท) เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันที่เมนูขนมปังทำเองแบบอบสดใหม่อย่าง Fermented Mini Baguette and Milk Bread Shokupan มินิบาแกตต์ที่ใช้เวลาหมักนานกว่า 2 วัน เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสความเหนียวของบาแกตต์แบบคลาสสิกสไตล์ฝรั่งเศส และโชกุปังเนื้อนุ่มฟู เสิร์ฟพร้อมเนยฝรั่งเศสที่นำมาเบลนด์กับไข่ปลาเมนไทโกะ ให้รสชาติเข้ากันได้เป็นอย่างดี
ตามด้วย Blue Swimming Crab ปูม้าที่เชฟคัดสรรวัตถุดิบมาจากจังหวัดชุมพร โดยเป็นการนำเอากรรเชียงปูม้ามาทำเป็นสลัดที่มีส่วนผสมของแอปเปิ้ลเขียว ส้มแมนดาริน แล้วท็อปด้วยแผ่นแป้งบางกรอบพร้อมใบชิโสะ ให้รสชาติสดชื่น
จานถัดมาเป็น Scallop หอยเชลล์จากฮอกไกโดที่ผ่านการสโมคแบบจีนจนได้ความนุ่มกำลังดี ท็อปมาบนแป้งทาร์ตกรุบกรอบ เสริมความกลมกล่อมด้วย Black Garlic Cream และ Roasted Tomato Puree แล้วโรยด้วย Finger Lime ปิดท้าย
ต่อมาที่ Wide Caught Grouper ปลาเก๋าดอกแดงที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจากทะเลอันดามัน ผ่านเทคนิคการแล่แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ก่อนจะนำมานึ่งด้วยซอสที่มีส่วนผสมของเหล้าจีนและสาเก ทำให้ได้กลิ่นหอมพร้อมรสกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ แล้วราดด้วย Aromatic Oil ที่เต็มไปด้วยส่วนผสมของเครื่องหอมอย่าง มะแขว่น พริกเสฉวน พริกบางช้าง และเปลือกส้ม ก่อนจะท็อปด้วย Red Amarant หรือผักโขมแดงปิดท้าย ให้สัมผัสได้ถึงรสชาติเข้มข้นพร้อมความนุ่มชุ่มฉ่ำของเนื้อปลาได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ที่น่าสนใจ ขอยกให้กับ XO Shokubun ขนมปังซิกเนเจอร์ของทางร้าน ที่เป็นการนำเอาโชกุปังไปย่างด้วยเนย แล้วเพิ่มความหอมด้วย Scallop Mayo ท็อปด้วยอูนิสดใหม่คุณภาพดีที่ส่งตรงมาจากตลาด Toyosu และ French Kaviari Caviar ให้รสสัมผัสของขนมปังที่กรอบนอกนุ่มใน เข้ากันได้ดีกับอูนิและคาเวียร์อย่างลงตัว
เมนู XO Shokubun ไม่รวมในคอร์ส สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งเพิ่มได้ในราคา 900 บาท
พักเบรกด้วยเมนูเบา ๆ อย่าง Soup of the Day น้ำซุปรสเข้มข้นที่เบลนด์ระหว่างซุปไก่ที่เคี่ยวเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมง มาผสมผสานกับน้ำสต๊อกจากหอยเชลล์แห้ง ทำให้ได้กลิ่นหอมพร้อมรสกลมกล่อมไม่เหมือนที่ไหน เสิร์ฟมาให้ทานพร้อมกับ Fa Cai Seaweed หรือสาหร่ายเส้นผม และ Kaviari’s Oscietra Caviar
ต่อกันที่ Luca’s Egg เมนูที่ได้วัตถุดิบไข่มาจาก ‘Luca’ เจ้าของฟาร์มไก่ชาวอิตาลีที่อาศัยอยู่พัทยา โดยเขาใส่ใจในการเลี้ยงไก่ไม่เหมือนใครด้วยการเลือกใช้โปรตีนในการขุน ทำให้ได้ไข่ที่มีคาแรกเตอร์รสชาติที่มันและหวานกว่าไข่ทั่วไป โดยเชฟจะนำไป Confit ในน้ำมันมะกอก ก่อนจะท็อปด้วย Kaviari’s Oscietra Caviar เสิร์ฟพร้อมถั่วลันเตาที่ผัดคลุกเคล้ากับเนย และ Spicy Crumble ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
ตามด้วยอีกหนึ่งเมนูที่น่าสนใจอย่าง Wild Caught Giant Tiger Prawn กุ้งลายเสือตัวโตจากจังหวัดพังงาที่ผ่านกรรมวิธีการ Sous Vide เพื่อให้ได้ความสุกแบบพอดีและคงความกรอบเด้งของกุ้งอย่างเต็มที่ เคียงมาคู่กับโฟมที่ช่วยเสริมมิติให้กับรสชาติ ทานพร้อมผัก Ice Plant และข้าวโพดอ่อนที่ผ่านการสโมคเบา ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว
ต่อมาที่จานของ Angthong Aged Barbary Duck อกเป็ดเนื้อแน่นที่เชฟนำไปแช่ในน้ำเกลือ 1 คืน ก่อนจะดรายเอจเป็นเวลา 18 วัน เพื่อให้ได้รสชาติความเข้มข้นของเป็ดอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงนำไปสโมคอีกที เสิร์ฟพร้อม Taro Puree, Blackberry Jus และก้านคะน้าผัด แนะนำให้ทานคู่กับ Vessantara Rice ข้าวสวยจากจังหวัดอำนาจเจริญที่นำมาอบคลุกเคล้ากับหอมแดงและ Dried Scallop เพื่อให้ได้กลิ่นหอม ทานพร้อมกันได้ความอร่อยที่แสนลงตัว
จากนั้นมาตัดเลี่ยนด้วย Organic Guava เมนู Sorbet ที่ทำมาจากน้ำฝรั่งออร์แกนิก ท็อปมาบนขิงอ่อนเชื่อมน้ำผึ้ง แล้วเสริมความสดชื่นด้วยกลิ่นของผิวเลมอน
มาถึงเมนูในหมวดของหวานอย่าง Apricot Seed ไอศกรีมแอปริคอตที่เพิ่มความหอมด้วยดอกเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ ท็อปมาบน Riz au Lait ข้าวกวนหรือขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสที่ปรุงรสออกมาในสไตล์จีนด้วยการใส่พุทราเชื่อมและซินนามอนเข้าไป ทานคู่กับ Sweet Chili Meringue ช่วยเสริมความกรุบกรอบเข้ากันได้เป็นอย่างดี พร้อมปิดท้ายคอร์สนี้ด้วย Petit Four ที่ประกอบไปด้วย Financier เค้กสไตล์ฝรั่งเศสที่ให้สัมผัสนุ่ม ทานคู่กับช็อกโกแลตทรัฟเฟิลเข้มข้นของจังหวัดจันทบุรี ที่มาจากแบรนด์ Bridet Chocolaterie ซึ่งเป็น Lab ผลิตช็อกโกแลต Bean to Bar ของเชฟเองด้วย ช่วยปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ต้องจองล่วงหน้าก่อนเท่านั้น! แนะนำให้จองก่อนประมาณ 1 สัปดาห์ ผ่านทาง Line : https://lin.ee/6iBHYcF หรือ โทร. 09-8269-1984
นอกจากนี้ทางร้านยังเปิดให้บริการในส่วนของ Coffee & Snack เวลา 10.00-17.00 น. อีกด้วย