Discover the New Vibes of Bodegas Wine
ชวนมาลิ้มลองรสชาติใหม่ของ Bodegas Wine ที่มีการปรับปรุงร้านใหม่ทั้งหมดเพื่อยกระดับประสบการณ์ทานอาหารโดยใส่ใจตั้งแต่การคัดสรรคุณภาพของวัตถุดิบตลอดจนการแพร์ริ่งคู่กับไวน์ ซึ่งที่นี่เป็นร้านอาหารสไตล์ Luxury Service ที่เสิร์ฟในรูปแบบ Fine Dining เพื่อความแปลกใหม่แต่เข้าถึงง่าย ให้ทุกครั้งที่แวะมาที่นี่มีแต่ความประทับใจ
Experience Modern Luxury
สำหรับตัวร้าน ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลักชูรีให้ความรู้สึกหรูหราเข้ากับความอบอุ่นอย่างลงตัว สำหรับชั้น 1 จัดเป็นโซนที่นั่งสบาย ๆ ใช้โทนสี Etoupe ให้มีกลิ่นอายของไวน์บาร์บรรยากาศชิลล์ ๆ และมีโซนห้องเก็บไวน์นานาชนิดที่ทางร้านคัดสรรมาจากทุกเมืองของสเปนเพื่อมอบประสบการณ์การดื่มด่ำรสชาติอาหารคู่กับไวน์ได้ดีที่สุด
ส่วนชั้น 2 ตกแต่งในสไตล์ลักซ์ชูรีใช้โทนสี Earth Tone เพิ่มความเรียบหรู ผสานกับสีขาวที่ให้ความรู้สึกโปร่งโล่ง ตัดด้วยสีดำและทองเพื่อเติมเสน่ห์อันโดดเด่นและความ Classy ที่ลงตัวพร้อมเปิดรับแสงธรรมชาติยามเย็นจากบานหน้าต่างที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและโรแมนติก พร้อมดื่มด่ำไปกับไวน์รสชาติโปรดที่ซอมเมอลิเยร์คัดสรรมาให้อย่างดีที่สุด
Spanish Fusion Cuisine, Paired with Great Wine and Good Vibes
สำหรับเมนูอาหารต่าง ๆ ของที่นี่ ทางร้านมุ่งมั่นพัฒนาร้านให้เป็น Sustainability Restaurant ด้วยการปรับเปลี่ยนจากการใช้วัตถุดิบจากสเปน 100% มาเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นจากเกษตรกรไทยตามฤดูกาลมากขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและลดผลกระทบของมลพิษจากการขนส่งวัตถุดิบระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีการใช้พลังงานสะอาดที่นำระบบ Energy Management มาใช้จัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเดินหน้าสู่ร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมใช้วัตถุดิบทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเนรมิตให้กลายเป็นอาหารสเปนและอาหารสเปนฟิวชันจานพิเศษที่พร้อมจะทำให้มื้อนี้กลายเป็นอีกหนึ่งมื้ออร่อยที่จะประทับใจไม่รู้ลืม
สำหรับความอร่อยในมื้อนี้ เราเริ่มต้นกันที่ Jamon Iberico PLATA (800 บาท) เมนูฮามอน อิเบอริโก หรือแฮมคุณภาพสูงที่ดีที่สุดในโลก และยังถือเป็นแฮมราคาแพงที่สุดในโลก ด้วยความพิเศษของรสชาติที่ไม่เหมือนใคร จากความใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยงดูตามวิถีธรรมชาติ โดยใช้พื้นที่ประมาณ 1-2 เอเคอร์ ในการเลี้ยงหมูไอบีเรีย 1 ตัว เพื่อให้เดินกินผลเอคอร์นที่ร่วงจากต้น ทำให้ไขมันแทรกตัวในเนื้ออย่างสมดุล อีกทั้งยังผ่านการแปรรูปเป็นแฮมผ่านกระบวนการหมักเกลือและบ่มตามธรรมชาติยาวนานกว่า 2 ปีทำให้เนื้อหมูของที่นี่มีเอกลักษณ์ อร่อยและเปี่ยมไปด้วยคุณภาพที่ดีที่สุดติดอันดับโลก
หรือจะลองเป็น Txangurro Fusion (380 บาท) ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูปูอบสไตล์บาสก์ ซึ่งปกติทำจากเนื้อปูสไปเดอร์ โดยทางร้านนำทำเป็นเมนูฟิวชันโดยใช้เนื้อปูม้าสดใหม่จากเกาะลันตา ทางภาคใต้ โดยเชฟนำเนื้อปูม้า ไข่ปู และมันปูมาผัดกับซอสสูตรพิเศษของทางร้านจนได้รสชาติเข้มข้น เติมความกรุบกรอบจากเกล็ดขนมปังไข่เค็ม ผสานความมันละมุนจากมายองเนสปูและความกลมกล่อมจากพูเรพริกหวาน
ต่อกันที่ Scallop Cold Pasta (400 บาท) เมนูพาสต้าเย็นที่เชฟเลือกใช้เส้นแองเจิลแฮร์คลุกเคล้าเข้ากันกับซอสยูซุ วากาเมะ สูตรพิเศษของทางร้านที่ให้ความสดชื่นเต็มคำก่อนจะท็อปด้วย Scallop ชิ้นโต
ส่วนจานถัดมาแนะนำให้ลอง Cuttlefish Chilli Garlic (450 บาท) ที่เชฟนำหมึกกระดองมาสไลซ์ จากนั้นนำไปผัดกับน้ำมันมะกอกสูตรพรีเมียม พริกและกระเทียมแบบไทย ๆ ให้รสชาติจัดจ้าน ทานง่ายแบบที่คนไทยคุ้นเคย
หรือจะลองเมนูฟิวชันรสจัดจ้านอย่าง Seasonal Fish & Scallop Khao Soi (680 บาท) เมนูข้าวซอยปลาประจำฤดูกาลและหอยเชลล์ ที่นำเครื่องเคียงมาแยกองค์ประกอบเพื่อความแปลกใหม่ โดยเพิ่มมิติของรสชาติด้วยเลมอนเจลลีและหอมแดงดอง เปลี่ยนเส้นหมี่กรอบในข้าวซอยให้เป็นหอมทอดกรอบ ใช้เทคนิคการปรุงเครื่องแกงข้าวซอยด้วยกรรมวิธีสไตล์ยุโรป ในขณะที่ผักกาดเขียวดองด้วยวิธีดั้งเดิม เพิ่มเติมแร่ธาตุในผักด้วยการดองกับน้ำแร่ Font Dor ที่ช่วยทั้งเรื่องรสชาติและความกรอบของผัก เป็นอีกจานฟิวชันที่น่าประทับใจ
ทานอาหารสเปนทั้งทีจะพลาด Paella de Gambas (2,200 บาท) หรือข้าวหุงสเปนได้ยังไง สำหรับจานนี้เชฟนำข้าวไปหุงบนกระทะกับน้ำสต๊อกกระดูกปลา ก่อนจะท็อปด้วยกุ้งแดงอาร์เจนติน่า, หมึกกระดองและหอยแมลงภู่ ก่อนเพิ่มรสชาติความอร่อยด้วยซอส Galic-Mayo และ Red Bell Pepper Puree
มาเอาใจคนรักเนื้อกันด้วย Grilled Pluma (1,800 บาท) หรือสเต็กหมูดำไอเบอริโก หมูที่ดีที่สุดในสเปน โดยเชฟจะเลือกใช้ส่วนสันคอซึ่งเป็นส่วนที่นุ่มที่สุด แซมด้วยไขมันดีมากริลล์จนสุกกำลังดี เสิร์ฟพร้อมกับซอส Chimichurri ที่ช่วยเสริมให้รสชาติจานนี้กลมกล่อมและสมบูรณ์ที่สุด อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรสชาติคล้ายเนื้อวัว และสามารถทานในระดับความสุกแบบเนื้อได้อีกด้วย
หรือลองเป็น Chicken Earth (580 บาท) เป็นเมนูที่มีส่วนผสมหลักเป็นไก่ท้องถิ่นจากฟาร์มที่โคราช ที่เลี้ยงแบบ Free Range โดยไม่ใช้สารเคมีและให้อาหารออร์แกนิก โดยเชฟนำไก่มา Dry Age นาน 5 วัน เพื่อให้ได้เนื้อที่นุ่ม ก่อนนำมาซูวีและทอดจนกรอบนอกนุ่มใน โดยมีการสอดไส้ด้วยแอปริคอตเพื่อเพิ่มรสชาติ เสิร์ฟพร้อม Leek Foam และ ซอสทรัฟเฟิล เพื่อความอร่อยที่ลงตัว
มาถึงจานหลักน่าลองอย่าง Iberico Wellington (1,600 บาท) ที่ไล่เรียงเลเยอร์รสชาติความอร่อยตั้งแต่ชั้นนอกไปยังชั้นในสุด ตั้งแต่แป้งพายชั้นดีสอดไส้ Spinach Crepe จากนั้นตัดรสชาติด้วย Cold Cut Jam และ Mushroom Duxelles ที่นำเห็ดไปผัดกับไวน์ขาวจนแห้งและได้รสชาติที่กลมกล่อม จากนั้นชั้นในสุดเชฟเลือกหมูดำไอเบอริโกส่วน Tenderloin ที่ไม่มีไขมัน ให้เนื้อนุ่มละมุนเข้ากันได้ดีกับทุกเลเยอร์
ปิดท้ายด้วย Ossobuco (950 บาท) เมนูขาหน้าลูกวัวตุ๋นเสิร์ฟกับริซอตโตที่มีไขกระดูกติดอยู่ ซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มความเข้มข้นและรสชาติให้กับเมนูนี้ เชฟใช้เวลาตุ๋นจนเนื้อนุ่มละลายในปาก เสิร์ฟคู่กับ Herb Sauce ที่จะช่วยเสริมรสชาติจานนี้ให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น