Published on December 12, 2018

Ultimate Place To Celebrate and Indulge

ดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุขไปกับการทานมื้อค่ำสุดพิเศษที่ Bull & Bear หนึ่งในห้องอาหารหลักของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ที่ไม่ว่าโอกาสสำคัญหรือวันไหน ๆ ก็สามารถอิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูปิ้งย่าง อบ และรมควัน ซึ่งมีการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพทั้งประเภทเนื้อสัตว์ต่าง ๆ และอาหารทะเล มาครีเอทเป็นเมนูเฉพาะ เพื่อให้การฉลองค่ำคืนแสนพิเศษระหว่างคุณกับครอบครัว เหล่าผองเพื่อน และคนที่รัก ท่ามกลางวิวเมืองสวย ๆ ใจกลางย่านราชดำริ ณ ห้องอาหารแห่งนี้ ได้มอบความประทับใจให้คุณได้มากกว่าที่เคย

Video Story
 

โซนเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มที่ตกแต่งด้วยรูปปั้นวัวกระทิงและหมีต่อสู้กัน สัญลักษณ์ของห้องอาหาร Bull & Bear

The Dining Room with Stunning Views of Ratchadamri

ทันทีที่ขึ้นมาถึงชั้นที่ 55 ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องอาหาร Bull & Bear เชื่อว่าหลายคนคงจะสะดุดตากับความอลังการของทิวทัศน์ย่านราชดำริแบบเต็มตาอยู่ไม่น้อย ซึ่งหากมองลงมาจากมุมที่นั่งติดกับกระจกใสด้านบนตัวตึกแล้วละก็ ที่นี่นับว่าเป็นจุดชมวิวเมืองและชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้

Bull & Bear ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม โดยบริษัทออกแบบคอนเซ็ปต์และดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง AvroKO ด้วยฝีมือของ Mr.William Harris สถาปนิกซึ่งรับหน้าที่ออกแบบภายในห้องอาหารและบาร์ ชั้น 55-57 ของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok โดยเฉพาะ 
 

ห้อง Private กับวิวเมืองสุดส่วนตัว

 

หากมาทานกันเป็นหมู่คณะก็สามารถเลือกจับจองที่นั่งชมวิวเมืองสวย ๆ ได้บริเวณโซนนี้

ภายในห้องอาหาร Bull & Bear มีรูปแบบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ด้วยการจัดวางที่นั่งแบบ Art Deco หรูหราและสง่างาม โดยเฟอร์นิเจอร์ที่นำมาใช้ ส่วนใหญ่นั้นทำมาจากทองเหลือง ออกแบบเป็นรูปทรงเรขาคณิต มีมุมนั่งทานอาหารหลากหลายโซน ทั้งห้อง Private สำหรับจัดเลี้ยงแบบเป็นส่วนตัว มุมโซฟา โต๊ะนั่งสำหรับมาทานกันเป็นคู่และหมู่คณะ มุมเคาน์เตอร์บริเวณครัวเปิด ไปจนถึงมุมเคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่ม ส่วนไฮไลท์การตกแต่งของห้องอาหารนั้นอยู่ที่รูปปั้นขนาดใหญ่บริเวณโซนบาร์ ซึ่งเป็นแบบจำลองมาจากรูปปั้น Bull & Bear (การต่อสู้กันของกระทิงและหมี) ที่มีชื่อเสียง บนถนน Wall Street ของมหานครนิวยอร์ก

Bull & Bear มีชื่อเดียวกันกับร้านอาหารในมหานครนิวยอร์ก โดยได้มีการนำไอเดียรูปปั้นกระทิงและหมีบน Wall Street มาผสมผสานความเป็นไทยผ่านรูปแกะสลักไม้ ซึ่งมีฐานเป็นลวดลายไทย โดยฝีมือช่างไทย รวมถึงฝ้าเพดานด้วยผ้าลายไทยสีแดง โคมไฟเพดานที่ทำจากแก้วลายขนนกซึ่งสถาปนิกได้มีการดีไซน์เพื่อสื่อถึงขนของพญาครุฑ สัตว์วิเศษในวรรณคดีไทย
 

บรรยากาศภายในห้องอาหาร

ด้วยการตกแต่งภายในสุดหรูหรา ประกอบกับทัศนียภาพอันงดงามของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนนี่เอง ทำให้ Bull & Bear กลายเป็นสถานที่สังสรรค์สมบูรณ์แบบที่ควรค่าแก่การมาทานมื้อค่ำ หรือนัดพบปะสังสรรค์ ฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ อย่างมาก

 

โซนครัวเปิด

Specializing in Grilled Meats and Seafood

ตามที่เกริ่นมาแล้วข้างต้นว่า ห้องอาหารแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องเมนูเนื้อย่างและอาหารทะเล มีเคาน์เตอร์ปรุงสดใหม่ให้ผู้ที่มาทานได้เลือกเมนูปิ้ง ย่าง อบ หรือรมควันได้ตามชอบ แต่ละเมนูล้วนผ่านการรังสรรค์อย่างพิถีถันจากเชฟ Patrick Morris เชฟชาวออสเตรเลียผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการทำอาหารสไตล์ Gastronomy พร้อมเสิร์ฟความอร่อยให้นักชิมสายกริลล์ทั้งหลายได้ลิ้มลอง

 

เบื้องหลังการทำงาน รังสรรค์เมนูหลักของเชฟ Patrick Morris

สำหรับเมนูแนะนำ เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วย Tiger Prawn Cocktail (580 บาท) กุ้งลายเสือย่างขนาดไซส์จัมโบ้ที่ทาด้วยเนย หมักด้วยซอสพริกศรีราชาสูตรพิเศษ ซึ่งทางเชฟได้นำมาผสมเข้ากับซอสทาบาสโก้และไข่ ก่อนจะนำไปรมควันกับไม้แอปเปิ้ลนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย จนได้เนื้อครีมเข้มข้นขลุกขลิก รสชาติเข้ากันดีกับเนื้อกุ้งแน่น ๆ และความเนียนนุ่มของเนื้ออะโวคาโดที่เสิร์ฟมาในถ้วยค็อกเทล

 

Tiger Prawn Cocktail (580 บาท)

แล้วอุ่นท้องแบบเบา ๆ กันต่อกับ Bull & Bear Chowder (350 บาท) เมนูซุปข้าวโพดรมควันที่ทำออกมาในสไตล์ของฝรั่งเศส ให้ความเข้มข้นเป็นพิเศษ โดยแบ่งส่วนผสมออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นฟองโฟมและน้ำซุปข้นที่มีส่วนผสมของผักชี พริกเม็กซิกัน และพริกไทยด้วย ให้รสชาติหวานผสานความเผ็ดร้อนในชามเดียว

 

Bull & Bear Chowder (350 บาท)

เพิ่มความอิ่มของเซ็ตเมนู Starter มากขึ้นอีกนิดกับ Jumbo Crab Cake (800 บาท) คร็อกเก้ปูหรือทอดมันปูก้อนโตที่ทำมาจากเนื้อปู Alaskan King Crab ล้วน ๆ นำมาผสมเข้ากับไข่ข้น ๆ จนได้เนื้อ Crab Cake รสกลมกล่อมเต็ม ๆ คำ เสิร์ฟมาพร้อม Smoked Remoulade ซอสครีมเข้มข้นสไตล์ฝรั่งเศส เสริมรสชาติอาหารจานนี้ให้อร่อยลงตัวมากขึ้น

 

Jumbo Crab Cake (800 บาท)

ก่อนจะจัดเต็มกับอาหารจานหลัก ทางห้องอาหารแนะนำให้ลองสั่ง Side Dish อีก 2 เมนูนี้มาทานคู่กัน เมนูแรกคือ Truffle MAC & Cheese (220 บาท) เมนูยอดนิยมของ Bull & Bear ที่รวมเอาวัตถุดิบที่มีความพิเศษมาไว้ในจานเดียว เป็นการนำมักกะโรนีมาผสมกับชีสถึง 3 ชนิด รวมถึงมีส่วนผสมของทรัฟเฟิลออยล์ ซึ่งเวลาทานจะได้กลิ่นหอมของเห็ดทรัฟเฟิลเป็นพิเศษ 


ตามมาด้วยเมนูที่ 2 กับ Braised Cabbage (180 บาท) กะหล่ำม่วงตุ๋นสูตรพิเศษที่เชฟนำกะหล่ำปลีสไลด์มาตุ๋นจนได้รสหวานกลมกล่อม แล้วนำกะหล่ำปลีไปผัดกับเบคอนแบบไร้น้ำมัน เพื่อให้น้ำมันจากเบคอนมาช่วยเพิ่มความหอมแบบรมควันนิด ๆ ให้กับตัวกะหล่ำตุ๋น

และเมื่อถึงคิวของอาหารจานหลัก พลาดไม่ได้กับ Bone in Ribeye (6,000 บาท) สุดยอดเมนูไฮไลท์ สเต๊กเนื้อวากิวขนาด 900 กรัม ที่ผ่านกรรมวิธี Dry Aged บ่มเนื้อวัว ภายในตู้แช่แข็ง โดยให้ไขมันส่วนเกินบริเวณเนื้อส่วนต่าง ๆ ของวัวไหลออกมาจนแห้งสนิท ทำให้เนื้อวัวนุ่มและมีรสชาติที่เข้มข้นมากขึ้น นานถึง 55 วัน ก่อนจะนำไปย่างไฟบนเตาถ่านขนาดใหญ่ที่ทางห้องอาหารสั่งทำเป็นพิเศษ นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย ทำให้ได้เนื้อย่างที่มีความฉ่ำนุ่มและกรุ่นกลิ่นหอมรมควันเป็นพิเศษ เสิร์ฟมาบนถาดไม้ พร้อมกับซอสหลากหลายชนิดที่มีให้เลือกจิ้มตามชอบ

 

Bone in Ribeye (6,000 บาท)

เอาใจสาย (ชอบทาน) เนื้ออีกสักหน่อยกับเมนู Rack of Western Australian Lamb (1,300 บาท) เนื้อซี่โครงแกะนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย ที่ปรุงรสชาติด้วยพริกไทยและเลมอนจนได้เนื้อแกะนุ่ม ๆ ชุ่มฉ่ำซอสสูตรเฉพาะของเชฟ แล้วท็อปด้านบนด้วยใบไทม์ เสิร์ฟมาพร้อมกับแครอทย่างรสหวานแสนอร่อย

 

Rack of Western Australian Lamb (1,300 บาท)

ส่วนใครที่ไม่ทานเนื้อ สามารถสั่งเมนูปิ้งย่างอาหารทะเลมาทานแทนได้ แนะนำให้ลองสั่ง Char Grilled Tiger Prawn (1,250 บาท) กุ้งลายเสือย่างซอสขนาดไซส์จัมโบ้ ที่เพิ่มรสกลมกล่อมด้วยเนย เติมความหอมด้วยใบไทม์ ใบพาสลีย์ และเลมอน พร้อมเพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยพริกไทย 

 

Char Grilled Tiger Prawn (1,250 บาท)

Cheers!

ปิดท้ายมื้อค่ำสุดประทับใจด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของห้องอาหารอย่างเมนูที่มีชื่อว่า Waldorf Sharing Old Fashioned (420 บาท) ค็อกเทลที่เบสรสชาติด้วยวิสกี้ Mitcher’s American Bourbon กรุ่นกลิ่นหอมด้วย Aromatic Bitters แล้วมิกซ์ส่วนผสมที่มาเพิ่มความหอมหวานให้แก้วนี้ด้วย Maple Honey Syrup ก่อนจะคนเข้าด้วยกัน ตามมาด้วยเปลือกส้ม และ Orange Oil ที่ให้ความหอมสดชื่น เสิร์ฟพร้อมการรมควันไม้แอปเปิ้ลลงในแก้ว On The Rock เพื่อให้กลิ่นหอมอบอวลของควันนั้นผสมเข้ากับตัวค็อกเทล ให้ได้รสชาติกลมกล่อม แฝงไว้ด้วยกลิ่นหอมของส่วนผสมแต่ละตัวแบบชัดเจนมากยิ่งขึ้น

 

บาร์เทนเดอร์พร้อมเสิร์ฟซิกเนเจอร์เมนูค็อกเทล

 

Waldorf Sharing Old Fashioned (420 บาท)

สำหรับเทศกาลแห่งความสุขและรอยยิ้มที่ใกล้เข้ามานี้ เลือกเฉลิมฉลองมื้อพิเศษกับคนพิเศษ ณ ห้องอาหาร Bull & Bear เลือกอิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูสเต๊ก และอาหารทะเลระดับสุดพรีเมี่ยมจากเมนูปกติ หรือวัตถุดิบสุดพิเศษที่เชฟได้เลือกสรรโดยเฉพาะสำหรับเทศกาลนี้เท่านั้น ทั้งนี้สามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าในการการันตีค่าใช้จ่ายในราคา 7,500 บาทต่อท่านสำหรับคืนวัน Christmas Eve และ Christmas Day (24 และ 25 ธันวาคม) และในราคา 10,000 ต่อท่านสำหรับคืนวันเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ New Year’s Eve celebrations (31 ธันวาคม) ดินเนอร์ในบรรยากาศสุดพิเศษ พร้อมชมแสงสีของพลุและไฟประดับใจกลางย่านราชประสงค์ได้อย่างประทับใจ  

Must Read!
  • การทานอาหารที่ Bull & Bear ค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมาก แนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 วัน
Info
Hours
Everyday : 5:30PM - 10:30PM
Price

฿฿฿฿฿฿ มากกว่า 2,000 บาทต่อคน

Address
Waldorf Astoria Bangkok ชั้น 55, 151 ถนนราชดำริ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร
Map
Mass Transit

BTS ราชดำริ

Facilities
Suggest an Edit