Bangkok's Getting Excited
ซอยสาทร 12 พร้อมต้อนรับร้านเท่ ๆ ร้านใหม่ที่หลายคนกำลังตื่นเต้นอยู่ในขณะนี้อย่าง Bunker แล้ว ไม่ใช่แค่ดีไซน์ล้ำสมัยไม่เหมือนใครแต่ที่นี่ยังได้เชฟที่อยู่เบื้องหลังร้านดังอย่าง Eat Me มาร่วมครีเอตเมนูสุดสร้างสรรค์ กับบาร์โดยบาร์เทนเดอร์ไฟแรงWelcome To Concrete Bunker
ถ้าเลี้ยวเข้ามาในซอยแล้วจะต้องสะดุดตากับชื่อร้านนี้เป็นอันดับแรก เพราะร้านตั้งอยู่สุดซอยเลย จากคอนเซ็ปต์จากชื่อร้าน Bunker ที่แปลว่าที่หลบภัย ได้คนออกแบบอย่าง Kelly Wheatley มาออกแบบโดยรีโนเวทมาจากตึกแถว 2 คูหา ให้กลายเป็นร้านอาหารสุดเท่ที่มีถึง 3 ชั้นด้วยกัน ดีไซน์ออกมาให้มีความดิบโดยใช้ผนังปูนเปลือยกับอิฐ เฟอร์นิเจอร์ของที่นี่ก็สั่งทำขึ้นเฉพาะ อย่างเก้าอี้ทำจากไม้สักกับเบาะหนังสีสันสดใส ตกแต่งด้วยโคมไฟดีไซน์เก๋ ๆ ให้บรรยากาศย้อนยุคนิด ๆ เต็มไปด้วยลูกเล่นที่แฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์Modern Industrial Decor
ร้านแบ่งเป็นสัดส่วนโดยชั้นล่างจะเป็นส่วนของบาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์จาก Diageo World Class 2015 กับบาร์เทนเดอร์บาร์ชื่อดังอย่าง Marcel มาครีเอทเมนูสนุก ๆ ให้ได้ลองกัน ถ้าเดินขึ้นมาที่ชั้น 2 ก็จะพบกับ Open Kitchen ขนาดใหญ่ ถ้าเลือกนั่งชั้นนี้ก็จะมองลงไปเห็นบรรยากาศบาร์ด้านล่างและสามารถชมเชฟทำอาหารกันจานต่อจาน ถ้ามากันเป็นกลุ่มแนะนำให้จองโต๊ะยาวที่เป็นอีกจุดเด่นของที่นี่เพราะตั้งอยู่ติดกับหน้าต่างที่มองออกไปเห็นวิวสุดถนนสาทรเลย
ส่วนใครที่อยากดินเนอร์พร้อมนั่งชมวิวในบรรยากาศแบบเอาดอร์ แนะนำให้ขึ้นมาบนชั้น 3 เพราะตรงนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นรูฟท็อปส่วนตัวที่มาพร้อมกับบาร์เล็ก ๆ ที่เรียงรายด้วยแท็ปคราฟเบียร์จากนานาประเทศContemporary American Cuisine
ผู้อยู่เบื้องหลังของอาหารร้านนี้คือ Tim Butler ที่หลายคนคุ้นเคยกันดีจากร้านอย่าง Eat Me โดยมีเชฟที่ควบคุมดูแลอาหารของร้านทั้งหมดอย่าง Arnold Marcella จากร้าน The Elm ในนิวยอร์ก ร่วมกับ Paul Liebrandt เชฟมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว จะมาร่วมกันสร้างความตื่นเต้นให้กรุงเทพ ฯ ด้วยอาหารสไตล์ Contemporary American Cuisine ที่เป็นการใช้เทคนิคการทำอาหารแนวใหม่บวกกับการผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นและวัตถุดิบสไตล์เอเชียที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงอาหารของที่นี่จะเน้นเป็นจานที่สั่งมาแบ่งกันทานได้ เริ่มด้วยจานเบา ๆ อย่าง Kanpachi Crudo (375 บาท) เมนูนี้ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากต้มข่า เชฟใช้เนื้อปลา Kanpachi จากญี่ปุ่นแล้วนำไปต้มกับกะทิรสชาติไม่มันมากผสมกับ Leche de Tigre ที่มีรสชาติออกเปรี้ยว แล้วตกแต่งด้วย Cilantro พืชตระกูลผักชี ลองอีกเมนูอย่าง Wagyu Beef Tartar (375 บาท) ใช้เนื้อวัวดิบคลุกกับน้ำมันงา แล้วท็อปด้วยไข่นกกระทาที่นำไปทำออกมาคล้าย ๆ ไข่เยี่ยวม้าก่อน เสิร์ฟมาคู่กับเบเกิลกรอบฝานบาง ๆ หรือเมนูอย่าง Cured Foie Gras Torchon (550 บาท) ตับห่านชิ้นกำลังดีเสิร์ฟมาพร้อมกับวัตถุดิบสุดสร้างสรรค์อย่างมะยงชิดรสหวาน และมะม่วงแผ่นบางรสเผ็ดนิด ๆ ที่มาตัดกับรสมัน ๆ ของตับห่านได้อย่างดี โรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์รสออกหวานมาให้เคี้ยวกรุบ ๆ อีกด้วยA Touch Of Asian Flavours
สำหรับจานหลักแนะนำให้ลอง Grilled Jidori Half Chicken (825 บาท) เชฟใช้ไก่บ้านครึ่งตัวนำไปย่างจนหนังกรอบแต่ด้านในยังคงความฉ่ำและเหนียวนุ่มอยู่ ต้องทานคู่กับซอสที่ทำจากเกาลัด และผักโขมที่เสิร์ฟมาเคียงก็เข้ากันดี ที่นี่ยังมีเมนูเบา ๆ อย่างปลาด้วยคือ Grouper (650 บาท) โดยเชฟจะปรุงรสปลาอ่อน ๆ ด้วยพริกและเครื่องเทศ ก่อนจะนำไปอบแล้วเสิร์ฟคู่กับแห้ว ราดด้วยซอสสีดำสูตรเฉพาะที่มีกลิ่นเข้ากันดีกับเนื้อปลา ส่วนอีกเมนูไฮไลท์ของที่นี่เป็น Smoked Short Rib For Two (1800 บาท) เสิร์ฟมาในจานใหญ่สำหรับแบ่งกันทาน เชฟเลือกใช้เป็นวัตถุดิบที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง Beef Rib นำไปกริลล์จนได้กลิ่นสโม้คหอม ๆ เนื้อส่วนนี้จะนุ่มเป็นพิเศษเพราะมีไขมันแทรกอยู่มาก จากนั้นท็อปด้วยหัวหอมรสออกหวานนิด ๆ แล้วเสิร์ฟคู่กับมันบดเนื้อเนียน
Sweetness & Texture
ถ้าทานอาหารอิ่มแล้วแนะนำให้ลองของหวาน ลองสั่งเป็น Banana (300 บาท) จานที่ทำจากกล้วยหลากหลายชนิด ไม่ว่าเป็นกล้วยตาก กล้วยฉาบ กล้วยคาราเมล ปรุงรสด้วย Spice Rum กับ Coffee Streusel ที่ช่วยให้ออกมารสชาติลงตัวยิ่งขึ้น แต่ถ้าใครชอบช็อคโกแลตแนะนำให้สั่ง Chocolate Cashew Torte (300 บาท) ทาร์ตช็อคโกแลตสวย ๆ ของที่นี่มีความโดดเด่นด้วยรสสัมผัสที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฐานชั้นล่างจาก Chocolate Mascarpone Creameux กับรสหวาน ๆ ของ Caramel ตบท้ายเป็นสัมผัสกรุบ ๆ จากถั่วอย่าง Cashew ToffeeMust Read!
- ร้านเปิดในช่วงดินเนอร์เท่านั้น จะแวะมาทานอาหารหรือจะจิบค็อกเทลที่ชั้นล่างก็ได้ ใครอยากไปแนะนำให้โทรไปจองโต๊ะก่อนเลย