Fall in Love with the Joyful Movement
Caper ร้านอาหารที่แสดงถึงอีกด้านหนึ่งของเชฟ Dan Bark เชฟหนุ่มชาวเกาหลี-อเมริกัน เจ้าของดาวมิชลินจาก Upstairs at Mikkeller และ Cadence ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่งสไตล์ Progressive American Cuisine ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
ตามความหมายของชื่อร้าน Caper นั้น แปลว่า 'การกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน' ซึ่งกลายเป็นคอนเซ็ปต์ของที่นี่โดยเน้นบรรยากาศที่สนุกสนานมากขึ้นกว่าร้านอื่น ๆ ที่ผ่านมาของเชฟ ทั้งรูปลักษณ์ของร้านที่มีสีสันจัดจ้านและเมนูอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดซึ่งทานได้ง่ายยิ่งขึ้น
The Gatsby Vibes
สำหรับ Caper ถูกออกแบบตกแต่งเป็นอย่างดีในสไตล์บรรยากาศแบบ Gatsby เน้นสีสันฉูดฉาดอย่างเฟอร์นิเจอร์ผ้ากำมะหยี่สีแดงสดและผนังสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับพื้นลวดลายสีขาวดำและเสริมความหรูหราด้วยโคมไฟและเส้นสายสีทองที่ตกแต่งตามมุมต่าง ๆ อีกทั้งยังเผยให้เห็นครัวกึ่งเปิดขนาดใหญ่ที่ใช้ร่วมกับ Cadence เพิ่มความเคลื่อนไหว เสริมบรรยากาศภายในร้านให้ดูคึกคักยิ่งขึ้น
East Meets West
ทางร้านนำเสนออาหารในสไตล์ Comfort Modern American Cuisine โดยจะเป็นเมนูแบบ a la carte แบ่งออกเป็นหมวด Snacks, Starters, Main Dishes และ Desserts มาพร้อมคอนเซ็ปต์ East Meets West หรือการผสมผสานวัฒนธรรมอาหารจากทั้งเอเชียและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน ทุกจานจะเน้นเสิร์ฟในพอร์ชั่นที่เหมาะกับการแบ่งกันทาน
เริ่มจากเมนูในหมวด Snacks อย่าง Chicken Liver Mousse (290 บาท) มูสตับไก่เนื้อเนียน เพิ่มรสชาติด้วยน้ำผึ้งทรัฟเฟิล, หัวหอมแดงดอง, เมล็ดแตงโมอบแห้ง ทานคู่กับขนมปัง Sourdough กรอบ ๆ เป็นเมนูที่ทานได้เพลิน ๆ เหมาะกับสั่งมาทานกับเพื่อน ๆ
ต่อด้วยเมนูขายดี Truffle Toast (340 บาท) โทสต์ขนมปังบริยอชเนื้อนุ่มชิ้นพอดีคำ ท็อปหน้ามาด้วยชีสทรัฟเฟิล ชีสพาร์เมซานที่ใส่มาเต็ม ๆ และเห็ดทรัฟเฟิลสด ๆ ใครที่ชอบทานทรัฟเฟิลต้องลอง
สำหรับเมนูในหมวด Starters ทางร้านแนะนำเมนู Salmon Crudo (380 บาท) เนื้อแซลมอนแล่บาง เสิร์ฟมาพร้อมสลัดผักสด ๆ และหน่อไม้ฝรั่งย่าง ราดด้วยครีมชีสและน้ำส้มสายชูมะพร้าว โรยหน้าด้วยข้าวพอง อย่าลืมคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันก่อนทาน รสเปรี้ยวของครีมชีสเข้ากันกับผักสด ๆ และเนื้อปลาแซลมอนนุ่ม ๆ ได้เป็นอย่างดี
อีกเมนูที่พลาดไม่ได้สำหรับคนรักการทานเนื้อคือ Beef Tartare (420 บาท) เมนูนี้เชฟได้นำเสนอเมนูอาหารเกาหลีอย่าง Yukhoe และนำมาประยุกต์ใหม่ ใช้เนื้อวัวชั้นดีสด ๆ คลุกเคล้ากับซอสโคชูจัง ท็อปด้วยงาขาวและต้นหอม เสริมรสเปรี้ยวด้วยซอสพอนสึ ก่อนจะเพิ่มความมันและรสชาติให้เข้ากันยิ่งขึ้นด้วยไข่แดงดิบ ที่แนะนำให้คลุกไข่แดงดิบให้ทั่วก่อนที่จะทาน เสิร์ฟมาคู่กับข้าวเกรียบที่ทำจากข้าว เป็นเมนูที่ทำออกมาได้ดีและไม่คาว มีรสชาติเข้มข้นแต่ไม่รสจัดจนเกินไป
มาถึงเมนูจานหลัก ทางร้านแนะนำ Hokkaido Scallops (590 บาท) เนื้อหอยเชลล์ตัวใหญ่จากฮอกไกโดที่ทางร้านนำไปนาบกับกระทะแบบสุกพอดีจนได้เนื้อที่นุ่มไม่เหนียว ทานคู่กับริซอตโต้ข้าวบาร์เลย์รสกลมกล่อม ดอกกะหล่ำย่าง และซอสเคเปอร์สีส้มสวย
หรือลองสั่ง Seared Duck Breast (590 บาท) เนื้ออกเป็ดนุ่ม ๆ นาบกับกระทะ เสิร์ฟมาคู่กับผักสด ๆ ตัดรสชาติด้วยความเปรี้ยวจากซอสแครนเบอร์รีรมควัน และกะหล่ำปลีแดงตุ๋น ทานคู่กับพูเรฟักทองเนื้อเนียน
ส่วนใครที่ขาดขนมหวานไม่ได้ ทางร้านยังมีเมนู Banana Bread & Bacon (360 บาท) เค้กกล้วยหอมเนื้อแน่น เสิร์ฟมาแบบอุ่น ๆ ทานคู่กับไอศกรีมเบคอน และเมเปิ้ลไซรัปผสมเหล้ารัม ได้รสชาติหวานเค็มเข้มข้นจากเนื้อเค้กและไอศกรีม เหมาะกับทานปิดท้ายมื้อได้ดี
Take A Sip
นอกจากเมนูอาหารแล้ว ทางร้านยังมีบาร์เครื่องดื่มดี ๆ ที่ได้ คุณ Chris Simon, Bar Director ของทั้ง Cadence และ Caper มาครีเอตเมนูเครื่องดื่มให้ สำหรับเมนูค็อกเทล ทางร้านแนะนำ One Sixty (380 บาท) เบสด้วย Apple Jack เพิ่มรสชาติเปรี้ยวหวานด้วยส่วนผสมอย่างพีช, ส้ม, เลมอน และท็อปด้วยโฟมสีขาวนุ่มจากไข่ขาว ส่วนใครที่ไม่อยากดื่มแอลกอฮอล์ ที่นี่ยังมีเมนูม็อกเทลให้ลอง แนะนำ Bright (250 บาท) ที่มีส่วนผสมของแชมเปญไร้แอลกอฮอล์, Passion fruit & Pineapple reduction, มะม่วง, มะนาว และ Sparkling water