Fine Dining Experience the Essence of Traditional Thai Wisdom
ชวนมาลิ้มรสความอร่อยของอาหารไทยไฟน์ไดน์นิ่งระดับมิชลินสตาร์ที่ Chim By Siam Wisdom ร้านอาหารไทยที่นำหลากหลายภูมิปัญญาไทยมาถ่ายทอดตามแบบต้นตำรับดั้งเดิม เพิ่มเติมด้วยเทคนิคและการนำเสนอที่ทันสมัย ท่ามกลางบรรยากาศคลาสสิกของบ้านเก่าสไตล์โคโลเนียลในยุครัชกาลที่ 6 ใจกลางย่านดุสิต
ร้านอาหารแห่งนี้นำทีมรังสรรค์ความอร่อยโดย ‘เชฟหนุ่ม-ธนินทร จันทรวรรณ’ ดีกรี Iron Chef อาหารไทยมากฝีมือ การันตีด้วยรางวัลมิชลินสตาร์ 1 ดาว 8 ปีซ้อน (ปี 2018-2025) ภายใต้แนวคิดของการผสมผสานภูมิปัญญาการทำอาหารไทยโบราณเข้ากับหลากหลายเทคนิคการปรุงอาหารสมัยใหม่ อีกทั้งพรีเซนต์รสชาติของความเป็นไทยแท้ให้ลงตัวกับวัตถุดิบท้องถิ่นระดับพรีเมียม ซึ่งเชฟหนุ่มและทีมงานของเขา ยังคงพัฒนาและยกระดับอาหารไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมสืบสานภูมิปัญญาการทำอาหารอันทรงคุณค่าที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษไทย หลายยุคหลายสมัย เพื่อมอบประสบการณ์การทานอาหารไทยไปพร้อม ๆ กับสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมด้านอาหารการกินอันรุ่มรวยและเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่น่าประทับใจ
การถ่ายทอดความอร่อยของอาหารไทยโบราณ เชฟหนุ่มเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากการอ่านตำรับตำรา ถามผู้รู้จนได้ความกระจ่าง และต้องใช้รสสัมผัส การทดลอง ออกแบบรสชาติอาหารผ่านเทคนิค วิธีการทำเข้ามาปรุงให้ถูกจริตกับอาหารไทยมากที่สุด ตามคำบอกเล่าของเชฟในสิ่งที่ยึดมั่น ทำมาตลอดบนเส้นทางของการเป็นเชฟว่า
"สิ่งที่เราต้องทำอยู่เสมอ คือการเรียนรู้และพัฒนาสูตรอาหารกับทีมให้มากที่สุด ต้องทำอาหารให้ออกมามีคุณภาพและมาตรฐานในแบบของ Chim By Siam Wisdom"
ส่วนอีกหนึ่งวิธีการนำเสนอความอร่อยที่สร้างสรรค์ คือการเสิร์ฟเมนูอาหารให้มีความเชื่อมโยงกับกาพย์เห่ โคลง กลอน ของยุคสมัยก่อน เพื่อให้มีเรื่องราว มีความสละสลวย มีความน่าสนใจในการถ่ายทอดความอร่อยแบบไทย ๆ ให้กับลูกค้า ได้สัมผัสและรับรู้ที่มาหรือ History ของอาหารแต่ละจาน
The House of Chim
ร้านตั้งอยู่ภายในบ้านสไตล์โคโลเนียลอายุกว่าร้อยปี เดิมทีพื้นที่แห่งนี้เป็นที่ดินหลวงซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงพระราชทานให้เป็นที่พักอาศัยของราชองครักษ์ ก่อนที่ซอยองครักษ์จะถูกสร้างขึ้น โดยด้านหน้าของบ้านเคยหันไปทางคลองที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนตัวบ้านโอบล้อมไปด้วยความร่มรื่นของแมกไม้เขียวขจี รวมถึงดอกไม้และสมุนไพรไทยหอมหลากหลายชนิด เพื่อให้ที่นี่เป็นพื้นที่แห่งความสงบและมอบความอบอุ่นให้กับผู้มาเยือนไปพร้อม ๆ กัน
พื้นที่แห่งนี้เหมาะแก่การทำเป็นร้านอาหารที่ถ่ายทอดให้เห็นถึงความเป็นไทยแท้ ๆ เพราะนอกเหนือจากอาหารที่ถ่ายทอดความเป็นไทยแล้ว ยังได้บรรยากาศของความเป็นไทยด้วย ซึ่งทางร้านไม่ได้ปรุงแต่งสิ่งใดเลย เพราะเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่มีความเป็นไทยไว้ให้ได้สัมผัสในทุกอณู
โซนนั่งรับประทานอาหารของทางร้านถูกแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ ทั้งแบบส่วนรวมและแบบส่วนตัว แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจัดเป็นโต๊ะนั่งแยกกันอย่างเป็นสัดส่วน เพื่อมอบความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังออกแบบให้แต่ละมีธีมของชนชาติ อาทิ ห้องจีน ห้องเวียดนาม ฯลฯ เพื่อบอกเล่าถึงวิวัฒนาการของการค้าขายในแต่ละยุคสมัยของไทย เติมเต็มมื้อพิเศษให้ดูมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เสริมบรรยากาศการรับประทานอาหารไทยให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ด้านนอก ซึ่งบริเวณใจกลางสวนนั้นมีศาลาไทยโบราณที่ทางร้านใช้ชื่อว่า 'Wisdom House' โดยเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้พักผ่อนและดื่มด่ำกับธรรมชาติ ซึ่งในอนาคตจะมีการรวบรวมสินค้า ผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริก เครื่องแกง เหล้าขาว ปลาร้า ฯลฯ ตามด้วยคลาสที่เปิดสอนทำวัตถุดิบปรุงอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ เสมือนเป็นพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ในเรื่องของการทำอาหาร การปรุงอาหาร หลากหลายกรรมวิธีแบบไทย ๆ เรื่อยไปจนถึงการเพาะปลูกพืชสมุนไพรไทย ดอกไม้กินได้ และอื่น ๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับอาหารไทยทั้งสิ้น รวมถึงไอเดียของการช่วยเหลือชุมชนชาวบ้าน ด้วยการนำเอาความรู้ เทคนิควิธีทำอาหารรูปแบบใหม่ ๆ ประสบการณ์ในการทำอาหารของเชฟหนุ่ม เข้าไปพัฒนาวัตถุดิบต่าง ๆ ของชุมชนให้ได้มาตรฐาน คุณภาพ และรสชาติที่ดียิ่งขึ้น เช่น กะปิ-น้ำปลา ที่เลือกใช้เกลือหิมาลายันหรือเกลือดำในการหมัก เพื่อยกระดับสินค้าให้มีความพรีเมียมมากขึ้น ได้รสชาติ ได้ความหอมอีกแบบหนึ่ง, การทำเมนู ‘น้ำพริกไม่หนุ่ม’ หรือนำพริกแก่ พริกชนิดอื่นมาผสม เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมถูกปากคนไทยภูมิภาคอื่น ๆ เป็นต้น
เรียกว่าเป็นการแบ่งปันความรู้สู่ชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนา ยกระดับสินค้าของชุมชนให้มีความพรีเมียม เพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น ซึ่งหลังจากนั้นทางร้านก็จะนำสินค้าเหล่านั้นกลับมาจำหน่าย ส่งเสริมพื้นที่การขายให้ชุมชนมีรายได้และเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น
ใครที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกับทาง Wisdom House สามารถสำรองที่นั่งกันได้ ซึ่งในช่วงแรก ๆ อาจเปิดให้เข้ามาทำกิจกรรมช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊กของทางร้าน
The Authentic Taste and History of Thai Cuisine
ตามที่เกริ่นมาแล้วข้างต้น ร้าน Chim By Siam Wisdom เลือกพรีเซนต์ความอร่อยของอาหารไทย ด้วยรสชาติอาหารไทยแท้ที่ผสานเข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นระดับพรีเมียม พร้อมเทคนิคสมัยใหม่ สร้างสรรค์เป็นคอร์สเมนูต่าง ๆ อย่างพิถีพิถัน ครั้งนี้เชฟหนุ่มและทีมครัว ภูมิใจนำเสนอ ‘เมนูฤดูร้อน (Summer Tasting Menu) 4,250++ บาท / ท่าน’ ซึ่งร้อยเรียงเรื่องราววัฒนธรรมการกินจากกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ผ่านมุมมองของชาววังและชาวบ้านในสมัยนั้น บางเมนูได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน แต่โดยรวมสะท้อนถึงรสชาติและประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
ภายในคอร์สนี้ เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยด้วยเมนู Amuse-bouche 3 คำเล็ก ๆ ที่ผ่านหลากหลายเทคนิคกรรมวิธีทำ ทั้งของนึ่ง ของทอด และการถนอมอาหาร ได้แก่ จีบนก, ก้อยเนื้อ และ หลนหมู ซึ่งหากเรียงลำดับการรับประทานอาหารแล้ว แนะนำให้รับประทานจีบนกที่เปนของนึ่งก่อน ตามด้วยก้อยเนื้อ ตัวแทนอาหารจากภาคเหนือที่เลือกใช้กรรมวิธีการดรายเอจเพื่อเพิ่มรสสัมผัส เป็นเมนูที่ให้ทั้งความกรอบ ความครีมมี่ และความหอมของมะแขว่น และปิดท้ายด้วยหลนหมู ที่เป็นการนำเมนูโบราณมาดัดแปลงให้ทันสมัยมากขึ้น แต่ยังคงรสชาติไทยแท้ ๆ แน่นอน เสิร์ฟความอร่อยผ่านพรีเซนเทชันที่เน้นโชว์มรดกทางวัฒนธรรมไทย เรื่องการทำอาหารขึ้นโต๊ะเสวยในยุคสมัยก่อนให้ดูน่ารับประทาน โดยเพิ่มเทคนิคการทำให้อาหารดูน่าประทานในแบบพอดีคำ มีเรื่องราว และสามารถอุ่นร้อนได้ตลอดเวลา
หลังจากเรียกน้ำย่อยกันไปแล้ว ทางร้านก็เร่ิมต้นเสิร์ฟเมนูอาหารคอร์สต่าง ๆ ผ่านวิธีการตั้งชื่อและการนำเสนอที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำรับตำราโบราณ กาพย์เห่ โคลง กลอน ของยุคสมัยก่อน ที่ทำให้การรับประทานอาหารดูมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ได้สัมผัสความไทยตามความตั้งใจของทางร้าน เริ่มต้นกันที่เมนู แสร้งว่า ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานในรัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็นเรื่องราวของการทำอาหารไทยในยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนบทประพันธ์ที่กล่าวไว้ ‘ไตปลาเสแสร้งว่า ดุจวาจากระบิดกระบวน’ ซึ่งคนยุคสมัยก่อนอาจจะยังไม่คุ้นชินกับเครื่องไตปลา เพราะมีกลิ่นค่อนข้างแรง จึงใช้วิธีนำกะปิมาย่างให้หอม เพื่อแสร้งว่า (เสมือนว่า) เป็นไตปลานั่นเอง
สำหรับเมนูนี้ ทางร้านได้นำกะปิมาผสมเข้ากับน้ำกะทิ วัตถุดิบหลักที่ใช้คือปลากะมงพร้าว ผ่านกรรมวิธีดูดความชื้น เพื่อเพิ่มสัมผัสความนุ่มและรสสดหวานของเนื้อปลา โดยคงเครื่องสมุนไพรไทยไว้ในเมนูอย่างครบถ้วนตามตำรับโบราณ รับประทานแล้วให้ความรู้สึกสดชื่น เหมาะกับช่วงฤดูร้อน
คอร์สถัดมาคือ เบื้องกุ้งสัมฤทธิ์ ขนมเบื้องแบบโบราณที่เสิร์ฟความอร่อยมาให้ลิ้มลองสองสัญชาติ โดยจานแรกเป็นขนมเบื้องแบบใช้น้ำกะทิผสมเกลือ, แบบชาววังที่มีการใส่ไส้ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากุ้ง หน้าปลา และหน้ากระฉีก (นำเนื้อมะพร้าวมาผัดกับน้ำตาล จนได้สีน้ำตาลคาราเมล ผสมเข้ากับเครื่องสามเกลอ เพื่อให้ได้ความหอมและรสกลมกล่อมแบบอาหารคาว)
ส่วนจานที่ 2 จะเป็นการเสิร์ฟขนมเบื้องเวียดนามที่ได้แรงบันดาลใจมาจากยุคสมัยก่อน ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการค้ามากมายกับชาวต่างชาติ หนึ่งในนั้นคือชาวเวียดนามที่ได้มีการแลกเปลี่ยนสูตรอาหารกับคนไทยด้วย โดยเพิ่มวัตถุดิบไข่เข้ามาใช้ในการทำแป้ง แต่เนื่องจากยุคสมัยนั้นไทยเรายังไม่มีกระทะไว้ใช้ทำอาหาร มีเพียงเหล็กสองแผ่นที่ใช้นาบแป้งให้ติดกัน แป้งของขนมเบื้องไทยจึงมีความกรอบบางเป็นพิเศษ
ต่อเนื่องความอร่อยด้วยคอร์สเมนู โพล้งปลา โดย ‘โพล้ง’ เป็นเมนูอาหารไทยโบราณที่มีลักษณะคล้ายกับต้มโคล้ง แต่ความโดดเด่นของโพล้งคือน้ำซุปที่ทำจากปลาล้วน ๆ รสชาติที่ได้จะมีความกลมกล่อมอย่างมาก สำหรับเมนูโพล้งปลานั้น ทางร้านได้สูตรมาจาก ตำราแม่ครัวหัวป่าก์ ของ ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ว่าด้วยเรื่องเครื่องต้มแกงที่ใช้วัตถุดิบเครื่องแกงอย่างพอดี โดยทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบเนื้อสัตว์เป็นปลาเก๋าดำจุดแดงจากทะเลอันดามัน ผ่านกรรมวิธีเซียร์ในกระทะ ปรุงด้วยเครื่องเทศ เสิร์ฟมาคู่กับน้ำพริกขี้กาให้รับประทานด้วยกัน พร้อมเพิ่มลูกเล่นให้คนได้รับประทานโพล้งปลาหลายแบบ แบบแรกคือการรับประทานน้ำซุปก่อน สักประมาณ 2-3 คำ แล้วจึงตามด้วยการนำน้ำพริกขี้กามาละลายกับน้ำซุป ซึ่งจะได้รสชาติใหม่ที่ให้ความเข้มข้นกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
เติมความอิ่มท้องกันต่อกับคอร์สเมนู ลุตตี่กับไก่กะเรง ตัวชูโรงของเมนูนี้คือ ‘ลุตตี่’ ซึ่งเป็นแป้งที่ดัดแปลงมาจากโรตีของทางประเทศอินเดีย แต่ลุดตี่นั้นให้แป้งบางและสัมผัสกรอบที่มากกว่า โดยลุตตี่เกิดขึ้นเมื่อมีชาวกะเรงหรือชาวอินเดียที่อพยพลี้ภัยจากสงครามมาอาศัยอยูในประเทศไทย คนไทยจึงเกิดความคิดอยากทำแป้งลุตตี่ขึ้นมา ด้วยความที่ยุคสมัยนั้นไทยเรายังไม่มีกระทะ จึงใช้แผ่นเหล็กหนา ๆ สองแผ่น นาบลงบนแป้งจนได้แป้งลุตตี่
วิธีรับประทานเมนูนี้ คือการฉีกแป้งลุดตี่ออกเป็นแผ่นสามเหลี่ยมเท่า ๆ กัน หลาย ๆ ชิ้น เสิร์ฟคู่มากับ ‘แกงกะเรง’ ที่ตักราดมาบนตัวแป้ง โดยแกงนี้จะมีความคล้ายกับแกงพะแนง แต่เพิ่มเครื่องเทศอินเดีย จำพวกลูกกระวาน ลูกจันทน์ เข้าไปในแกงด้วย เพื่อให้ได้ความเผ็ดและความหอมของเครื่องเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จากนั้นเพิ่มรสชาติให้คอร์สอาหารมื้อนี้ด้วยเมนู ยำใหญ่ใส่สารพัด อีกหนึ่งเมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ตามบทประพันธ์ที่กล่าวไว้ ‘ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา’ โดยจะนำผักสารพัดชนิดและเนื้อสัตว์อย่างเนื้อหมู เนื้อเป็ด และอื่น ๆ ตามเหมาะสม มารวมไว้ในจานเดียว จะเห็นได้ว่าในหนึ่งจานจะมีหลากหลายวัตถุดิบ ครั้งนี้ทางร้านเลือกใช้วัตถุดิบเนื้อสัตว์เป็นเป็ดย่างที่นำไปดรายเอจ ย่าง และอบ จนได้เนื้อสัมผัสนุ่มและมีสีชมพูสวย พร้อมด้วยตับไก่ ปลาหมึกแผ่นที่ผ่านการนำไปบดก่อนและทำเป็นแครกเกอร์ ในส่วนของตัวซอสที่ใช้ร่วมกับน้ำยำสลัดจะเป็นซีอิ๊วญี่ปุ่น คลุกเคล้าเข้ากับไข่แดงเค็มที่โรยหน้าเครื่องยำทั้งหมด เชื่อมทุกส่วนผสมเข้าไว้ด้วยกันให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัว
ตามมาด้วยคอร์สไฮไลต์อย่าง ต้มยำปลาช่อนโบราณ รศ.๑๐๙ เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่เรียกได้ว่าเป็น ’The Lost Recipe’ นำสูตรมาจากตำรับของ หม่อมซ่มจีน ราชานุประพันธ์ โดยเกิดขึ้นเมื่อยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงโปรดปรานอาหารรสจัดมาก ๆ แต่พอถึงในช่วงที่พระองค์ท่านนั้นประชวร ก็ไม่ทรงโปรดการเสวยข้าว หม่อมซ่มจีนอยากให้พระองค์นั้นเสวยข้าวได้ด้วย จึงแอบใส่ข้าวสารและข้าวพองลงไปด้วย เพื่อให้ซุปหรือน้ำแกงมีความข้น ได้ความหอมของกระเทียมไทยเจียว ผักชีล้อม ผักชีฝรั่ง พร้อมกับได้ความหวานจากมะเขือเทศราชินีเผา หอมแดงไทยเผา รสเผ็ดร้อนจากพริกเผาสูตรของทางร้าน และรสเปรี้ยวจากตะลิงปลิงที่ทางร้านปลูกเอง
สำหรับวัตถุดิบเนื้อสัตว์ที่ทางร้านเลือกใช้ในการทำต้มยำครั้งนี้ (โดยเลือกวัตถุดิบตามฤดูกาลและวัตถุดิบที่หาได้ในแต่ละวัน) คือ ปลาคังสดใหม่ที่ได้มาจากแม่สะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธุ์ปลาน้ำจืดที่ดีที่สุดของไทย ทันทีที่พระองค์ท่านลองเสวยก็ทรงโปรดมากถึงขนาดที่ทรงรับสั่งว่าหากใครที่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยให้กินต้มยำนี้สูตรนี้ เพราะความเผ็ดร้อนของเครื่องสมุนไพร เครื่องต้มยำจะช่วยขับเหงื่อจากร่างกาย ให้อาการป่วยไข้หายเป็นปลิดทิ้ง ตามแบบภูมิปัญญาของคนไทยในสมัยนั้น ’The Lost Recipe’ นี้จึงสื่อถึงเมนูที่เลือนหายไปแล้ว แต่ทางร้านนำกลับคืนมาใหม่ และกลายเป็นเมนูประจำร้านที่ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองแล้วจะต้องประทับใจ
จัดเต็มความอร่อยด้วยคอร์สเมนู สำรับ ชิม บาย สยามวิสด้อม อาหารจานหลักที่เสิร์ฟในรูปแบบสำรับไทย (ทั้งเมนูต้ม ผัด แกง ทอด) หรือเสิร์ฟเป็นกับข้าวและข้าวสวยร้อน ๆ ให้รับประทานคู่กัน ตามอย่างวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่แบ่งทานกันได้กับคนในครอบครัว
สำรับแรกเป็นเมนู แกงเขียวหวานเนื้อเทนเดอร์ลอยน์ไทยวากิว, สำรับที่สองเป็นเมนู หมูชะมวงรวนกะปิ ในรูปแบบที่ทันสมัย ตัดรสชาติด้วยใบชะมวงที่นำมาเคี่ยวรวมกับกะปิและเนื้อหมูจนได้เนื้อสัมผัสนุ่ม พร้อมรสเปรี้ยวหวานปนเค็มที่ได้จากกะปิ ใบชะมวง และหอมแดง ส่วนสำรับสุดท้าย คือ กุ้งลายเสือผัดฉ่า ซึ่งได้รับวัฒนธรรมอาหารมาจากประเทศจีน ให้รสเผ็ดร้อน กลิ่นหอมของกระชายและพริกไทยอ่อนแบบเต็มคำ อีกหนึ่งทีเด็ดของสำรับชิมฯ คือ ข้าวหุงน้ำมะพร้าวเผา ที่ให้ความหอมหวานของน้ำมะพร้าว ช่วยเสริมอรรถรสในการรับประทานอาหารให้สมบูรณ์มากขึ้น
อิ่มอร่อยกับหลากหลายคอร์สเมนูอาหารคาวกันไปแล้ว ก่อนเข้าสู่คอร์สเมนูอาหารหวาน ทางร้านได้เลือกเสิร์ฟ เชอร์เบทดอกดาหลา ไอศกรีมรสชาติไทย ๆ ที่มีส่วนผสมของมะม่วงและดอกดาหลา ผสานรสชาติหวานอมเปรี้ยวได้เข้ากันอย่างลงตัว เสิร์ฟมาพร้อมกับสับปะรดย่างและซอสพริกเกลือใบโหระพา คู่ความอร่อยที่ช่วยล้างปากหลังรับประทานคอร์สอาหารคาวได้เป็นอย่างดี
จัดเต็มความอร่อยฉบับไทย ๆ ด้วยคอร์สเเมนูของหวานอย่าง เบค อยุธยา ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากยุคสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งนำเอา ‘น้ำแข็ง’ นวัตกรรมใหม่เข้าในเมืองไทยที่กลายมาเป็นเมนูน้ำแข็งไสและไอศกรีมในยุคปัจจุบัน สำหรับไอศกรีมหรือที่แต่เดิมเรียกว่า ‘ไอติม’ ยุคแรกของไทย คือ ไอติมกะทิที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทางร้านก็ได้เลือกนำมาเสิร์ฟร่วมกับข้าวเหนียวตัด ข้าวหมาก พร้อมด้วยผลไม้ประจำฤดูกาล (ครั้งนี้ผลไม้ประจำฤดูกาล ประกอบด้วย มะยงชิด มะปราง มะม่วง) และความพิเศษที่ขาดไม่ได้คือ ไอติมใบตองที่ให้รสหวานนวล รับประทานแล้วหวานเย็นชื่นใจ
นอกจากนี้ยังมี Complimentary เล็ก ๆ น้อย ๆ จากทางร้านที่เสิร์ฟมาในรูปแบบของ Thai Petit Fours ขนมไทยและผลไม้ชิ้นเล็ก ร่วมกับชาสมุนไพรสด ซึ่งสร้างความเซอร์ไพรส์ส่งท้ายมื้อพิเศษนี้ได้อย่างน่าประทับใจ
Must Read!
- เนื่องจากทางร้านต้องรังสรรค์เมนูอาหารคาว-หวาน พร้อมเตรียมวัตถุดิบสดใหม่แบบวันต่อวัน จึงขอแนะนำให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าก่อนเข้าไปรับประทานอาหารที่ร้านทุกครั้ง