Everyday Farm Food
CORO Field ฟาร์มออร์แกนิก 100% หรือสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรไลฟ์สไตล์แห่งแรกของจังหวัดราชบุรี ได้สร้างความประทับใจให้ใครต่อใครมากมาย โดดเด่นด้วยผลิตผลหลัก ๆ ได้แก่ Hokkaido Melon เมล่อน 2 สายพันธุ์จากญี่ปุ่นที่มีรสชาติหวานหอมเป็นพิเศษ, Holland Cherry Tomato มะเขือเทศสายพันธุ์มินิจากประเทศฮอลแลนด์, Mineral Salad ผักสลัดปลอดสารพิษที่ให้การดูแลเป็นพิเศษโดยการรดน้ำด้วยน้ำแร่ และ Purple Tomato มันม่วงรสหวานที่ได้มาตรฐานของเกษตรกรชาวราชบุรี เสิร์ฟเป็นความอร่อยให้คนกรุงเทพฯ ได้ลองทานกันผ่านคาเฟ่ที่ชื่อว่า CORO Field Cafe ซึ่งเลือกใช้วัตถุดิบสดใหม่จากฟาร์มครบวงจรของตัวเอง ภายใต้คอนเซ็ปต์ Everyday Farm Food ด้วยมุมมองของเกษตรกร “อาหารดีมาจากวัตถุดิบชั้นดี” มีหลากหลายเมนูอาหารฟิวชั่นที่สามารถทานได้ทุกวัน
CORO Field Zones
CORO Field Cafe สาขาที่ 2 นี้ เกิดจากความตั้งใจของ 2 พี่น้อง CORO Brothers คือ คุณพอร์ท-มิตรดนัย สถาวรมณี และ คุณพีท-พันดนัย สถาวรมณี ที่ต้องการเสิร์ฟวัตถุดิบคุณภาพดีจากฟาร์ม CORO Field ให้คนเมืองได้ทานอาหารที่มีคุณภาพ สำหรับสไตล์การตกแต่งร้าน ให้กลิ่นอายของความเป็นฟาร์มนิด ๆ ซึ่งได้มีการจำลองบรรยากาศบางส่วนจากฟาร์ม CORO Field มาประยุกต์ให้เข้ากับพื้นที่ภายในร้าน เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนที่สื่อถึงความอบอุ่น เป็นธรรมชาติ พร้อมเพิ่มพื้นที่สีเขียวมุมต่าง ๆ ด้วยต้นไม้เพื่อให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย ด้านในแบ่งออกเป็น 3 โซน ประกอบด้วย Cafe ให้ได้นั่งทานอาหารแบบ Dine In ที่เสิร์ฟเมนูอาหารคาว หวาน และเครื่องดื่มรูปแบบเดียวกันกับ CORO Field Cafe สาขาแรก 100% โซน Takeaway Bar เคาน์เตอร์สำหรับเครื่องดื่มสมูทตี้ ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ และเบเกอรี่ที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์ม เหมาะกับผู้ที่เร่งรีบ ไม่มีเวลานั่งทานที่ร้าน และ โซน Fresh Market ที่จัดจำหน่ายผลผลิตหลักสด ๆ ของฟาร์ม ทั้งเมล่อนฮอกไกโด มะเขือเทศเชอร์รี่สายพันธุ์ฮอลแลนด์ ผักสลัดปลูกด้วยน้ำแร่ มันม่วงหวาน พร้อมผลิตภัณฑ์แปรรูปของฟาร์ม
From Farm To Table
อาหารและเครื่องดื่มหลากหลายเมนูของที่นี่ เป็นสไตล์ฟิวชั่นผสมกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น หน้าตาอาจดูคล้ายคลึงกับอาหารคลีน แต่สามารถทานได้ตามปกติ อีกทั้งยังได้ลิ้มรสชาติ สัมผัสถึงความพิเศษของวัตถุดิบแต่ละตัวที่ทางร้านได้ครีเอทขึ้นโดยเฉพาะ ส่วนเมนูแนะนำที่ห้ามพลาด เริ่มต้เรียกน้ำย่อยด้วย โทมิเมลอนคัตสึโอะ (165 บาท) เมลอนสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่ให้ความหอมหวานเป็นพิเศษ เสิร์ฟมาพร้อมมะเขือเทศเชอร์รี่จากฮอลแลนด์ ราดซอสญี่ปุ่นสูตรพิเศษที่โรยหน้ามาด้วยปลาแห้งคัตสึโอะ ได้ทั้งความสดฉ่ำ หวานกรอบของเมลอน มะเขือเทศ และรสกลมกล่อมของซอส
ตามมาด้วย พล่ากุ้งย่างโทมิเมลอน (265 บาท) โทมิเมลอนที่เสิร์ฟมาพร้อมกุ้งย่างสุกกำลังดี คลุกเคล้ากับน้ำยำเข้มข้นจากน้ำมะขามเปียกและน้ำตาลปี๊บ
ก่อนจะทยอยเพิ่มรสชาติมากขึ้นกับเมนู สันคอหมูย่างซอสสับปะรด (265 บาท) เนื้อสันคอหมูนุ่ม ๆ ที่ย่างด้วยไฟอ่อน ๆ ทานคู่กับสับปะรดชื่อดังของบ้านคา พร้อมเพิ่มความสดชื่นด้วยมะเขือเทศเชอร์รี่ฮอลแลนด์ที่ผสานความอร่อยกันได้อย่างลงตัว
และเมนู เส้นหมี่ต้มยำน้ำข้นหมูชาชูย่างไข่ออนเซ็น (245 บาท) ต้มยำน้ำข้นรสจัดจ้าน ผสมความเป็นญี่ปุ่นด้วยหมูชาชูเนื้อนุ่มละลายในปากสูตรเฉพาะของทางร้าน ท็อปบนมาด้วยไข่ออนเซ็นที่มาช่วยเพิ่มความฟิน (อิ่ม) อร่อยให้ถ้วยนี้แบบเต็มสิบ
สำหรับใครที่อยากทานเมนูข้าว ขอแนะนำ ข้าวผัดมันกุ้งย่าง (185 บาท) มันกุ้งสดผัดกับเครื่องเทศสามเกลอ พร้อมเพิ่มความหอมให้กับข้าวผัดมันกุ้งด้วยข้าวไรซ์เบอร์รี่จากจังหวัดราชบุรี
Signature Desserts & Drinks
ทานของคาวกันไปแล้วอย่าลืมเมนูของหวานและเครื่องดื่มที่น่าลิ้มลองไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น เซ็ตโทมิเมลอนปังลาวา (185 บาท) ขนมปังสูตรโฮมเมดสอดไส้คัสตาร์ดที่ผสมด้วยเมลอนสับ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเมลอน หรือจะเป็น มันมุราซากิโรตีครัมเบิ้ล (165 บาท) มันม่วงญี่ปุ่นชิ้นโตที่เสิร์ฟมาพร้อมโรตีแผ่นบาง กรอบนอกนุ่มใน ราดซอสคาราเมลโชยุรสหวานนิด ๆ เค็มหน่อย ๆ รวมถึงมาร์ชเมลโล่ย่าง และไอศกรีมมันม่วงที่ทานเข้ากันเป็นอย่างดี
ส่วนเครื่องดื่ม ต้องลอง มันมุราซากิลาเต้ (95 บาท) มันม่วงปั่นที่ให้เนื้อสัมผัสของมันม่วงแบบเน้น ๆ ผสมกับความหวานมันของนมอย่างลงตัว ส่วนอีก 2 แก้วที่ห้ามพลาดคือ โทมิเมล่อน (95 บาท) เมล่อนปั่นสด ๆ ได้รสหวานฉ่ำของเนื้อเมล่อนแบบเพียว ๆ และ มะเขือเทศเชอร์รี่ (95 บาท) น้ำมะเขือเทศเชอร์รี่ปั่นที่เรียกคืนความสดชื่นระหว่างวัน ปิดท้ายมื้อแสนอร่อยได้อย่างประทับใจ