New Coffee Lab in Town
หากใครเคยได้ลิ้มลองความอร่อยของกาแฟ D’ARK by Phillip Di Bella แบรนด์คั่วเมล็ดกาแฟหลากหลายแหล่งผลิตทั่วโลกโดยฝีมือชาวออสเตรเลียที่ฝากไว้ให้คอกาแฟได้ชิมกันมาแล้วที่ D’ARK คาเฟ่-ร้านอาหารฟิวชั่นสองสาขาแรก (พิมาน 49-ซอยสุขุมวิท 49 และ EmQuartier) แล้วล่ะก็ คงต้องตามไปเช็คอินกันต่อที่ D’ARK Lab คาเฟ่แห่งที่ 3 ของแบรนด์ D’ARK ใจกลางซอยสุขุมวิท 16 ซึ่งเปิดให้บริการรูปแบบของแล็ปกาแฟที่เน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟ ขนมหวาน และของทานเล่นสไตล์ All Day Dining เป็นหลัก
More Than A Coffee Shop
D’ARK Lab นับเป็นสาขาแรกที่ทางแบรนด์ลงมือคั่วบดเมล็ดกาแฟเอง เปิดพื้นที่สำหรับผลิตกาแฟ คิดค้นเมนูใหม่ ๆโดยเฉพาะ พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดย่อม ซึ่งบ้างก็มีคลาสสอนสำหรับคนรักกาแฟ นับตั้งแต่ขั้นตอนการคั่วบด มีเครื่อง Roaster, Cold Brew และวิธีการผลิตหลากหลายรูปแบบให้คนที่สนใจในเรื่องของกาแฟได้เรียนรู้ เข้ามามีส่วนร่วม และทำความรู้จักกับกาแฟอย่างใกล้ชิด
Feel More Comfortable
นอกจากคอกาแฟแล้ว คาเฟ่แห่งนี้ยังเหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหาสถานที่ชิลล์เอาท์ บรรยากาศสบาย ๆ สามารถนั่งจิบเครื่องดื่ม นั่งทำงาน หรือพบปะสังสรรค์ได้ตลอดทั้งวัน
โดยแบ่งโซนนั่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่ บริเวณด้านนอกที่มีมุมระเบียง โต๊ะกลมให้นั่งท่ามกลางความร่มรื่นของแมกไม้และสวนหย่อมขนาดเล็ก ส่วนบริเวณด้านในตกแต่งด้วยมู้ดแอนด์โทนสีขาว ดำ และน้ำตาล พร้อมเพิ่มกิมมิกด้วยลายเส้นภาพวาดผลงานของ Mamo ที่ถ่ายทอดเรื่องราว คาแร็คเตอร์ของแบรนด์ D’ARK ออกมาได้อย่างดี ถัดมามีมุมนั่งหลายรูปแบบให้เลือกตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็นมุมเคาน์เตอร์บาร์ที่ติดกับกระจกใส รับแสงธรรมชาติ มองเห็นวิวสวนด้านนอก ตามมาด้วยโต๊ะกลม-เก้าอี้ไม้ เรื่อยไปจนถึงโซฟาสำหรับมาทานกันเป็นกลุ่ม
Sweets and Coffee Pairing Experience
ส่วนใหญ่แล้วทางคาเฟ่จะเน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟเป็นหลัก รวมถึงเป็นที่ทราบกันดีว่าที่นี่นั้นเลือกใช้กาแฟของ Phillip Di Bella เป็นกาแฟนำเข้าจากหลากหลายแห่งซึ่งผ่านการคั่วบดที่ประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะเพิ่มความพิเศษด้วยการเปิดเป็นแล็ปกาแฟที่สามารถเบลนด์รสชาติ เลือกสายพันธุ์เมล็ดต่าง ๆ เพื่อให้ได้กาแฟรสชาติหอมหวาน คุณภาพที่ดีกว่าตามความต้องการ เริ่มต้นวันดี ๆ ด้วยกาแฟสุดคลาสสิกอย่าง Latte (115 บาท) ลาเต้ ซึ่งผ่านการคั่วบด เบลนด์รสชาติโดยแบรนด์ Phillip Di Bella ทางร้านใช้เป็น Dark Blend กาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ที่ให้ความเข้มข้นแต่ได้รสกลมกล่อมนุ่มละมุน
หากไม่อยากดื่มกาแฟนม ขอแนะนำ Single & Tonic (230 บาท) กาแฟ Cold Brew ที่ทางร้านสกัดเองเป็นระยะเวลา 4-6 ชั่วโมง เลือกใช้แบบ Single Tonic ท็อปด้วย Triple Three Tonic ได้กาแฟที่มีรสชาตินุ่มกว่า ไม่ขม ไม่เปรี้ยว ดื่มง่ายกว่าประเภทอื่น ๆ
ตามมาด้วยเมนูอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สไตล์ Comfort Food ที่ทานง่าย และทานได้ตลอดทั้งวัน อาทิ พาสต้า เบอร์เกอร์ แพนเค้ก ขนมปังบริยอช ซึ่งล้วนทานเข้ากันกับเมนูกาแฟได้เป็นอย่างดี ลองสั่งซิกเนเจอร์เมนูรองท้องแบบเบา ๆ กับ Original Pancakes (260 บาท) แพนเค้กนุ่ม ๆ สูตรโฮมเมดที่ท็อปบนมาด้วยผลไม้สดรสเปรี้ยวตามฤดูกาล ได้แก่ บลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี กีวี และมะม่วง แล้วราดด้วยเมเปิ้ลไซรัป
เพื่มความอร่อยอย่างต่อเนื่องด้วย Saint Honore’ (330 บาท) ชูครีมสูตรเฉพาะของทางร้านซึ่งหาทานได้ยากพอสมควร โดยจะเสิร์ฟมาพร้อมกับวิปครีม เกล็ดคาราเมลที่ให้ความหอมหวานปนรสขมนิด ๆ ที่ทานเข้ากันกับกาแฟได้อย่างดี
ส่วนใครที่มองหาเมนูเพื่อสุขภาพ ขอแนะนำ Acai’ Superbowl (390 บาท) สมูทตี้เบอร์รีชนิดหนึ่งที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศบราซิล ให้รสชาติและสารแอนตี้ออกซิแดนท์เทียบเท่ากับบลูเบอร์รี สำหรับสูตรของทางร้านจะนำมามิกซ์กับกราโนล่า ผสานเข้ากันกับความหอมหวานของน้ำผึ้งและผลไม้นานาชนิดที่รวมกันอยู่ในชามเดียว ทานแล้วจะรู้สึกสดชื่น อิ่มท้องตลอดทั้งวัน
หรือจะสั่งในรูปแบบของเครื่องดื่มก็อร่อยไม่แพ้กันกับ Acai’ Smoothie (270 บาท) สมูทตี้เบอร์รีที่ใช้วัตถุดิบเดียวกันกับ Acai’ Bowl ทุกอย่าง เสิร์ฟพร้อมน้ำมะพร้าว ซึ่งเป็นน้ำผลไม้ของ Beep Juice แบรนด์น้ำผลไม้สกัดเย็น คั้นสด รสหวานธรรมชาติแบบไม่ใส่น้ำตาล แล้วท็อปบนมาด้วยมะพร้าวแก้วหรือมะพร้าวอบแห้ง ท็อปปิ้งที่ช่วยทำให้สมูทตี้เบอร์รีแก้วนี้มีทั้งรสเปรี้ยวและรสหวานที่ผสานกันได้อย่างลงตัว