First Pop-up Modern Korean Restaurant at Siam Kempinski Hotel Bangkok
ชวนเปิดประสบการณ์ทานอาหารเกาหลีรสต้นตำรับรูปแบบ Fine Dining ครั้งแรกในไทยกับ Edward Kwon in Bangkok ห้องอาหารเกาหลีสไตล์โมเดิร์นที่ส่งตรงความอร่อยจากเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ นำทีมโดย ‘เชฟ Edward Kwan’ เซเลบริตี้เชฟชาวเกาหลี และทีมเชฟมืออาชีพจากห้องอาหาร LAB XXIV by KUmuda ที่สืบสานวัฒนธรรมอาหารเกาหลีคลาสสิกควบคู่ไปกับการทำอาหารแบบตะวันตก พร้อมรังสรรค์เมนู 12 คอร์สพิเศษ มาเสิร์ฟไว้ในรูปแบบ Pop-up Restaurant ที่ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Siam Kempinski Hotel Bangkok) แบบเฉพาะกิจ เป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างวันที่ 7 กรกฎาคม ถึง 7 ตุลาคม 2566 นี้ เท่านั้น!
จากความตั้งใจอันดีของเชฟ Edward Kwon ในการยกระดับอาหารเกาหลี ซึ่งเป็นอาหารประจำชาติของเขาให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยเชฟและทีมงานได้ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดในการปรุงและตกแต่ง เพื่อให้จานอาหารทุกจานออกมาสวยงามน่ารับประทาน และให้รสสัมผัสแบบเกาหลีคลาสสิกผ่านวัตถุดิบชั้นนำคุณภาพนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้และทั่วโลก สร้างความประทับใจให้เหล่านักชิมได้ราวกับการชื่นชมงานศิลปะชั้นสูงผ่านจานอาหารเลยทีเดียว
Dive into Korean cuisine fairy tale
เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยชอบรับประทานอาหารเกาหลี ไม่ว่าจะเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากซีรีส์เรื่องโปรดหรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม แต่สำหรับที่ Edward Kwan Bangkok แล้ว นักชิมชาวไทยสายอาหารเกาหลี จะได้ลิ้มลองอาหารเกาหลีคลาสสิกที่มากกว่าเมนูปิ้งย่างอย่างแน่นอน ซึ่งครั้งนี้จะเป็นการยกระดับอาหารเกาหลีให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ผ่านกรรมวิธีการทำอาหารแบบตะวันตกชั้นสูง พร้อมด้วยพรีเซนเทชันที่ดูโมเดิร์น สวยงามแปลกตา ชวนเซอร์ไพรส์ ตามแบบฉบับ Fine Dining หากแค่รสชาติยังคงความคลาสสิกตามอย่างต้นตำรับอาหารเกาหลีไว้ได้เป็นอย่างดี
Edward Kwan Bangkok ห้องอาหาร Pop-up แห่งใหม่ภายในโรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ (Siam Kempinski Hotel Bangkok) ตั้งอยู่บริเวณชั้นล็อบบี้ ภายใต้บรรยากาศที่เรียบหรู ผสมผสานความคลาสสิกควบคู่ไปกับความร่วมสมัย ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ พร้อมประกับตกแต่งด้วยชั้นวางแจกันเซรามิกดีไซน์สวย หลากหลายโซน Dining ถูกจัดสรรไว้อย่างเป็นสัดส่วน เพื่อความเป็นส่วนตัว
ทั้งยังมีมุม Open Kitchen ที่เผยให้เห็นเบื้องหลัง บรรยากาศการรังสรรค์ความอร่อยของทีมเชฟเกาหลีใต้อย่างเพลินตา ตามมาด้วยป้ายห้องอาหารสีแดงเด่นเป็นสง่า ‘Edward Kwon Bangkok’ พร้อมภาษาเกาหลีที่แปลข้อความได้ว่า “รสชาติอาหารเกาหลีเมืองปูซาน ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่” เสมือนเป็นการการันตีว่าห้องอาหารแห่งนี้เลือกเสิร์ฟความอร่อยด้วยรสชาติตามสไตล์ดั้งเดิมของเมืองปูซานขนานแท้
นอกจากนี้ด้านการให้บริการของที่นี่ยังเลือกเก็บรายละเอียดของความเป็นห้องอาหารเกาหลีด้วยการให้เหล่าบริกรหญิงหรือพนักงานในร้านสมชุดฮันบกดีไซน์เก๋มาคอยเสิร์ฟอาหาร แนะนำคอร์สเมนูต่าง ๆ ตลอดมื้ออาหารค่ำนี้ได้อย่างน่าประทับใจอีกด้วย
12-course gastronomic revelation of classic Korean recipes
เซ็ตเมนูอาหารเกาหลีสุดคลาสสิก ที่รังสรรค์ความอร่อยด้วยเทคนิคการปรุงอาหารแบบร่วมสมัย จำนวน 12 คอร์ส (ราคา 4,900++ บาท / ท่าน) ถูกยกระดับให้มีความพิเศษมากขึ้นด้วยการ Pairing คู่กับไวน์ชั้นดีและม็อกเทลแก้วพิเศษ (Wine Pairings จำนวน 7 แก้ว ราคา 2,700++ บาท / ท่าน, Mocktail Pairings ราคา 870++ บาท / ท่าน) โดยอาหารเกาหลีทั้ง 12 คอร์สนี้ ล้วนเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพส่งตรงจากประเทศเกาหลีใต้ แต่ละจานเรียงร้อยเสิร์ฟความอร่อยตามอย่างสไตล์ตะวันตก เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย 5 รายการ ได้แก่ Saewoo Jang - Shrimp Tartlet เมนูทาร์ตกุ้งหมักโชยุเกาหลีกับยูซุ ตกแต่งด้วยสาหร่ายคอมบุขาวกรอบ ให้รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน ช่วยเปิดต่อมรับรสชาติในปากให้พร้อมสำหรับลิ้มลองคำต่อไปได้เป็นอย่างดี (คอร์สนี้หาก Pairing กับ Mocktail จะถูกเสิร์ฟมากับม็อกเทลน้ำแตงกวาและมินต์หอม ๆ)
คำที่ 2 คือ Bulgogi - Soy-marinnated Beef Fritter ‘บุลโกกิ’ หนึ่งในเมนูยอดนิยมของชาวเกาหลีใต้ ที่เสิร์ฟมาในลักษณะของข้าวปั้นทอดทรงกลม (Fritter Ball) ส่วนผสมหลักในคำนี้คือข้าวหมักซอสถั่วเหลืองเกรดพรีเมียม สอดไส้ชีส Provolone และเนื้อ พร้อมโรยท็อปด้วยแบล็กทรัฟเฟิล ให้ความรู้สึกเหมือนรับประทานบุลโกกิที่คลุกเคล้าส่วนผสมเข้ากันดีแล้วในคำเดียว
คำถัดมาคืออีกหนึ่งเมนูอาหารเกาหลียอดนิยมอย่าง Dakgalbi - Spicy Chicken Croustade ‘ทัคคาลบี้’ หรือไก่ผัดซอสโคชูจังที่เสิร์ฟมาในลักษณะของขนม Croustade สไตล์ฝรั่งเศส คำนี้ให้เนื้อสัมผัสกรอบของแป้งที่เข้ากับรสชาติเข้มข้น เผ็ดนิด ๆ ของไก่ผัดซอสอย่างลงตัว กลมกล่อมถูกใจคนรักเมนูโคชูจังแน่นอน (คอร์สนี้หาก Pairing กับ Mocktail จะถูกเสิร์ฟมากับม็อกเทลน้ำเลมอนสุดสดชื่น)
ต่อเนื่องความอร่อยคำที่ 4 ด้วย Yakhoe - Korean-style Beef Tartare เมนูทาร์ตเนื้อดิบสไตล์เกาหลีที่ถูกเสิร์ฟมาบนขนมปังบริยอช พร้อมยกระดับรสชาติด้วยไข่ปลาคาเวียร์และแพร์เกาหลี คำนี้ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้นของตัวเนื้อที่เข้ากันดีกับความกรอบของขนมปัง แถมยังได้รสชาติเค็มนิด ๆ ของไข่ปลาที่ตัดรสหวานของแพร์ได้อย่างลงตัวในคำเดียวอีกด้วย
ส่วนคำสุดท้ายจะเป็นคอร์สเมนู Gimmari - Chilli-marinated Seaweed Cannelloni ปอเปี๊ยะเกาหลีที่เสิร์ฟมาในลักษณะของโรลสาหร่ายทะเลอบกรอบ สอดไส้ด้วยเนื้อปลาโอโทโร่และกิมจิ พร้อมเพิ่มรสสัมผัสด้วยอูนิหรือไข่หอยเม่นทะเลคุณภาพ เป็นหนึ่งในคำสุดเซอร์ไพรส์ที่ได้ความอร่อยหลายมิติมาก ๆ (คอร์สนี้หาก Pairing กับ Mocktail จะถูกเสิร์ฟมากับม็อกเทลน้ำองุ่นแดง Merlot ที่ผสานรสชาติมากับความหอมหวานของน้ำบลูเบอร์รี)
เดินทางมาถึงครึ่งทางกับคอร์สเมนูที่ 6 ซึ่งมีชื่อว่า Corn Tarak-Jook - Corn Porridge ‘ทาราจุก’ หรือเมนูโจ๊กนม เป็นอาหารเกาหลีโบราณ ซึ่งแต่เดิมนิยมเสิร์ฟกันเฉพาะภายในราชสำนึก เพราะเป็นเมนูที่หาทานยาก น้ำนมสกัดจากข้าวโพดหวาน เสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อข้าวโพดหวาน ปลาหมึก ข้าวกล้อง และมันฝรั่งนุ่ม ๆ ที่ปั้นเป็นก้อนกลมคล้ายขนมบัวลอยของไทย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังรับประทานซุปข้าวโพดรสนุ่มละมุนแบบเบา ๆ ไม่เลี่ยนจนเกินไป
สำหรับคอร์สที่ 7 เชฟเลือกนำเสนอเมนู Abalone Jjim - Egg Custard with Abalone หอยเป๋าฮื้อตุ๋น (คำว่า Jim ในภาษาเกาหลี หมายถึงอาหารประเภทตุ๋น) เป็นเมนูโบราณสุดไฮไลต์ที่ไม่ว่าใครชิมเป็นต้องติดใจในเนื้อสัมผัสนุ่มหนึบของหอยเป๋าฮื้อที่ผสานรสชาติเข้ากับความนวลเนียนของเนื้อไข่ตุ๋นละมุนลิ้น ที่ท็อปตามด้วยไข่ปลาแซลมอนและเห็ดเอโนกิแบบครบเครื่องความอร่อย (คอร์สนี้หาก Pairing กับ Mocktail จะถูกเสิร์ฟมากับม็อกเทลน้ำชามะลิออร์แกนิก ที่ให้กลิ่นหอมละมุน เย็นชื่นใจ)
เพิ่มดีกรีความเข้มข้นของรสชาติในคอร์สที่ 8 กับเมนู Mul Hoe - Chilled Raw Fish with Chilli Broth ‘มูล-ฮเว’ ซุปเย็นสไตล์เกาหลีที่มีส่วนผสมของซุปปลาดิบ เป็นเมนูยอดนิยมของเมืองท่า ชายฝั่งทะเลของเกาหลีใต้ ปรุงรสด้วยซอสโคชูจัง ปลาหมึก และซาชิมิปลาซีบรีม เสิร์ฟมาในถ้วย เพื่อให้คลุกเคล้าส่วนผสมต่าง ๆ ได้สะดวกและลงตัว
ต่อด้วยเมนูปลาอีกหนึ่งอย่างในคอร์สที่ 9 กับเมนู Samchi Gui - Charred Mackerel ‘ซามชิ-กุย’ เมนูอาหารเกาหลีโบราณที่ใช้ปลาแมคเคอเรลเนื้อแน่นเป็นวัตถุดิบหลัก นำไปย่าง เสิร์ฟมาในถ้วยเซรามิกทรงกลมให้ได้รับประทานกับตะเกียบแบบชาวเกาหลี พร้อมเพิ่มรสชาติด้วยซอส 3 สี ได้แก่ ซอสแดงซัมจังรสเข้มข้นที่ทำมาจากพริก ซอสเขียวที่ทำมาจากกุยช่าย และซอสมิโสะผสมซอสโคชูจัง สามารถเลือกจิ้มซอสได้ตามชอบหรือจะมิกซ์ทั้ง 3 ซอส ก็อร่อยกลมกล่อมไม่แพ้กัน (คอร์สนี้หาก Pairing กับ Mocktail จะถูกเสิร์ฟมากับม็อกเทล Ginger Beer รสเข้มข้น สดชื่นซาบซ่า)
และแล้วก็มาถึงจานหลักในคอร์สที่ 10 กับเมนู Galbi - Premium Wagyu Beef with Banchan ‘คาลบี้’ เนื้อวากิวเกรดพรีเมียมนุ่ม ๆ ที่เสิร์ฟเคียงคู่ความอร่อยมากับ ‘พันชัน’ เครื่องเคียงเกาหลี 6 อย่างที่มาช่วยเสริมรสชาติเนื้อให้อร่อยมากยิ่งขึ้น
ปิดท้ายด้วยคอร์สอาหารหวานอย่าง Hu Sik - Korean-Inspired Desserts ไอศกรีม 2 รสชาติสไตล์เกาหลีที่ประกอบด้วย ‘ฮูชิค’ ซึ่งทำจากส้มเขียวหวานและโอมิจา เบอร์รีป่าจากประเทศเกาหลีใต้ และไอศกรีมรสสาหร่ายเกาหลี ที่ให้รสหวานละมุน ตัดกับความหวานอมเปรี้ยวแนวสดชื่น ๆ ของผลไม้ ได้เข้ากันดีเหลือเกิน
ส่งท้ายมื้อพิเศษตามธรรมเนียม Fine Dining ด้วย Da Gwa - Petit Fours เมนูขนมเกาหลี 4 ชิ้น เรียงลำดับความหวานจากน้อยไปหามาก ประกอบด้วยขนมหวานที่ทำมาจากงาดำ, ช็อกโกแลตและพลัม, โสม และเบอรฺรีป่า พร้อมด้วยน้ำชาข้าวบาร์เลย์ร้อน ๆ ที่ดื่มแล้วช่วยคลีนรสชาติในปาก ช่วยให้การรับประทานอาหารมื้อค่ำนี้มีความสมบูรณ์แบบ
‘Edward Kwon in Bangkok’ พร้อมแล้วที่จะสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการอาหารเกาหลี โดยเชื่อมโยงมรดกวัฒนธรรมทางด้านอาหารแบบเกาหลีดั้งเดิม ผ่านกรรมวิธีแบบร่วมสมัย ที่จะทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงไปกับการนำเสนอไอเดียและความแปลกใหม่ไม่เหมือนใครผ่านอาหารแต่ละจาน ซึ่งไม่เพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้นที่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยความหลากหลายของรสชาติ เทคนิคการปรุงอาหารแบบเหนือชั้น ที่พร้อมมอบความอร่อยสุดประทับใจแก่ผู้ที่มารับประทานมื้อค่ำที่ห้องอาหารแห่งนี้ได้อย่างไม่รู้ลืม