Modern Scandinavian
ชื่อร้าน “Elg" นั้น แปลว่า กวางมูส ในภาษานอร์เวย์ เปรียบเป็นสัญลักษณ์ของร้านอาหารแห่งนี้ ที่พร้อมมอบประสบการณ์มื้ออาหาร Fine Dining ในสไตล์ Modern Scandinavian ให้ได้ลิ้มลองกัน จากฝีมือของ เชฟเบนซ์ คะณานน คนดี - เจ้าของร้าน ที่มีประสบการณ์ด้านอาหารจากประเทศนอร์เวย์มายาวนานกว่า 10 ปี
Keep it Natural
โดยเอกลักษณ์ของอาหารสไตล์สแกนดิเนเวีย จะเน้นรสธรรมชาติของวัตถุดิบเป็นหลัก และมีการปรุงแต่งให้น้อยสุด เครื่องปรุงหลัก ๆ จึงมีเพียงเกลือ พริกไทยและซอสจากผักผลไม้ที่มีรสชาติหวานกลมกล่อมจากธรรมชาติอยู่แล้วเท่านั้น นอกจากนี้ทางด้านเนื้อสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบหลักในจาน ยังส่งตรงมาจากประเทศนอร์เวย์แบบรับรองความสดใหม่ได้ในทุกคำ พร้อมแทรกไปด้วยความทรงจำของเชฟ ผสมผสานกลายมาเป็น 12 คอร์สสุดพิเศษทั้งอาหารและขนมที่คุณต้องประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบ
The Scandinavian Experience
สำหรับมื้อนี้ ทาง Elg Bangkok นำเสนอคอร์สอาหารในคอนเซ็ปต์ “EARTHY” ที่เผยให้ทุกคนได้สัมผัสกลิ่นอายและรสชาติความธรรมชาติ โดยคอร์สเมนูจะเปลี่ยนไปในแต่ละฤดูกาล
มาเริ่มต้นกันที่ Bread: Heart-Shaped Waffles | Butternut Butter ขนมปังธัญพืชสูตรพิเศษของทางร้าน เสิร์ฟมาพร้อม Butternut Butter เนยจากจังหวัด Røros ที่เชฟเคยทำงานอยู่ มีจุดเด่นอยู่ที่แร่ธาตุสูงและได้รสเค็มจากเกลือทะเลนั่นเอง
ต่อมาที่ส่วนของ Snack เรียกน้ำย่อยที่เชฟภูมิใจนำเสนอ Pumpkin | Goat Cheese เสิร์ฟเป็น 2 คำให้ลิ้มลองกัน โดยคำแรกเสิร์ฟเป็น Butternut Pumpkin Chip สอดไส้ด้วย Fresh Goat Cheese ที่ให้รสชาติของนมแพะที่ชัดเจน ส่วนคำที่ 2 คือ Butternut Pumpkin Canale ถือเป็น Appetizer ที่ไม่ใช่ของหวาน ให้สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาของ Autumn หรือฤดูใบไม้ร่วง ที่มีฟักทองเป็นสัญลักษณ์
Appetizer คำต่อไปคือ Duck Liver | Hazelnut มาการองที่เชฟใช้ Grounded Hazelnut Powder สอดไส้ด้วย Dark Chocolate Ganache 78% ผสมผสานกับตับเป็ดบดปรุงรส ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนไม่เหมือนที่ไหน
Fermented Chanterelle | Champignon | Rosemary คือจานต่อมาที่ใช้วิธีการดองผักผลไม้มาเพิ่มรสชาติ เนื่องจากประเทศนอร์เวย์เป็นประเทศเมืองหนาวที่จะมีผักผลไม้แค่เวลาสั้น ๆ การหมักดองจึงเป็นหนึ่งในกรรมวิธีถนอมอาหารยอดนิยม ในคอร์สนี้เชฟเสิร์ฟ Chanterelle หรือเห็ดป่าชนิดหนึ่งของประเทศนอร์เวย์ที่มาพร้อมกลิ่นป่าไม้สุด Earthy เคียงมากับ Champignon Cappuccino ท็อปด้วย Milk Infused กับ Rosemary
จานที่ 4 คือ Arctic Char, Sea Buckthorn | Horseradish เสิร์ฟรสชาติของปลาท้องถิ่นเมืองหนาวอย่าง Arctic Char หมักด้วย Dark Beer, Soy Sauce และขิง เสิร์ฟมากับ Ponzu ที่ทำจาก Sea Buckthorn ส้มท้องถิ่นที่ขึ้นเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเล มีกลิ่นเฉพาะตัว และเสริมรสชาติด้วย Horseradish ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวาซาบิของยุโรป
ต่อมาที่อีกหนึ่งไฮไลต์ของร้านอย่าง Brown Crab and Smorbrød ที่เชฟเลือกปู Brown Crab ตัวโตที่มีเพียงในแถบสแกนดิเนเวียเท่านั้น เสิร์ฟเป็น Brown Crab Custard ด้านในกระดอง วิธีทานคือราดด้วยซุป Bisque และทานกับ Smorbrød ขนมปังพื้นถิ่นของชาวสแกนดิเนเวียที่อัดแน่นไปด้วยธัญพืช ท็อปด้วยเนื้อปูมาให้ทานคู่กัน
ส่วน Sterling Halibut I Fermented Mustard ก็เป็นอีกจานน่าพูดถึง ด้วยวัตถุดิบหลักเป็นปลาน้ำลึกอย่าง Sterling Halibut ที่นิยมทานกันในหมู่ชาวสแกนดิเนเวีย จานนี้เชฟทำการแรปปลาด้วยสาหร่ายก่อนจะนำไปซูวี ห่อด้วย Puff Pastry และอบจนหอม เสิร์ฟมากับ Fermented Mustard Sauce
จานที่ 7 Dry-aged Duck, Fermented Plum | Celeriac อกเป็ดที่ผ่านกรรมวิธีดรายเอจเพื่อให้ได้รสชาติชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนของหนังนั้นกรอบทานได้เพลิน ๆ เสิร์ฟเคียงมากับ Fermented Plum และ Celeriac Puree หรือส่วนของรากเซเลอรี
ตัดเลี่ยนกันด้วยรสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่นพร้อมรสมินต์เย็น ๆ ของ Fermented Blueberry | Peppermint โดยเชฟเสิร์ฟ Peppermint Granita มาให้ทานคู่กับ Fermented Blueberry และ Fermented Blueberry Gel
ต่อมาที่จานของ Färikal (Lamb) | Charcoal Potato ที่เป็นเมนู Traditional ของชาวสแกนดิเนเวีย ใช้ซี่โครงแกะจากประเทศออสเตรเลียและกะหล่ำปลีมาซ้อนเป็นชั้น ๆ ก่อนจะนำไปตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม เสิร์ฟมาคู่กับ Stone Baked Potato ของทางร้านให้ทานคู่กัน
ส่วนของชีสที่ทางร้านนำเสนอก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่าง Brown Cheese (Cow) | Brown Cheese (Goat) ทาร์ตที่มาพร้อมบราวน์ชีสโฟมจากนมวัว ท็อปด้วย Shredded Brown Cheese จากนมแกะ ให้ได้ชิมความแตกต่างของชีสสองชนิดได้เต็ม ๆ คำ
จานของหวานเป็น Smoked Coconut Crème Brûlée เครมบรูเลมะพร้าวอ่อนมาพร้อมกลิ่นหอม ๆ จากการสโมคด้วยควันจากไม้เชอร์รี ให้ความรู้สึก Elegant และ Sweet ปิดท้ายด้วยรสหอมหวานของ Petite Four อย่าง Waffle Berry เปรี้ยวหวานลงตัว ปิดท้ายมื้ออาหารที่นี่ได้อย่างน่าประทับใจ