An Epic Story
ปัจจุบันคนทำงานส่วนใหญ่หันมาทำงานนอกสถานที่กันมากขึ้นไม่น้อยไปกว่าชาวฟรีแลนซ์ บรรยากาศที่ดีในการทำงานจึงมีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ และคงจะทำงานได้เวิร์คยิ่งขึ้น ถ้าได้นั่งทำงานในคาเฟ่เก๋ ๆ ที่มีครบทั้งบรรยากาศและเสิร์ฟความอร่อยไปพร้อมกันอย่าง EPIC SLAP Caffè de Sluttó คาเฟ่เปิดใหม่ย่านรัชดาฯ-ลาดพร้าว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์บู๊-แอ็คชั่นเรื่อง Bitch Slap จนกลายมาเป็นคาเฟ่ดีไซน์สุดเท่ที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น B ของ The Street Ratchada โดยเปิดให้บริการตลอดทั้งวันและคืน
The Coolest Loft Design
EPIC SLAP Caffè de Sluttó ออกแบบและตกแต่งร้านในสไตล์ลอฟท์ ที่เน้นการใช้โทนสีเข้มขรึมอย่างสีดำและสีขาวแสนคลาสสิก สอดรับกับโคมไฟและเฟอร์นิเจอร์หลากสไตล์ซึ่งให้ทั้งความพรีเมียม สร้างบรรยากาศผ่อนคลายเหมาะแก่การนั่งทำงาน ผสมผสานมู้ดแอนด์โทนสนุกสนานเหมาะกับการมาปาร์ตี้แฮงเอาท์กับกลุ่มเพื่อนในคราวเดียวกัน
ส่วนพื้นที่นั่งนั้นก็มีมุมให้เลือกชิลล์เอาท์หลายโซน แบ่งออกเป็น 2 โซนหลัก ๆ คือโซนสำหรับให้นั่งจิบเครื่องดื่ม ทานอาหารแบบสบาย ๆ บนโต๊ะหินอ่อนที่มาพร้อมโซฟานุ่มสีขาว หากมากันหลายคนก็นั่งทานแบบ Long Table หรือถ้ามาเดี่ยวจะนั่งมุมบาร์ไม้เท่ ๆ ก็เก๋ไม่เบา ตามมาด้วยโซนนั่งทำงานแบบชิลล์ ๆ ที่คั่นด้วยม่านโซ่ แยกเป็นโต๊ะนั่งแบบส่วนตัว ก่อนจะเพิ่มความประทับใจด้วยมุมไฮไลท์ของภาพเพ้นท์ฝาผนังรูปสามสาวนักแสดงนำจากเรื่อง Bitch Slap แต่ไม่ว่าจะนั่งโซนไหนมุมไหนพื้นที่แห่งนี้ก็เติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขได้ไม่ต่างกัน
Variety Drinks
ที่นี่เสิร์ฟอาหารหลากสไตล์หลายสัญชาติ แต่หลัก ๆ แล้วเป็นเมนูทานง่าย อิ่มท้องแบบเบา ๆ รวมกว่า 100 เมนู โดยเฉพาะเมนูเครื่องดื่มที่มีให้เลือกดื่มหลายชนิด ตั้งแต่ซอฟต์ดริงก์ น้ำผลไม้ ม็อกเทล ไปจนถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อย่างค็อกเทลที่ทางบาร์เทนเดอร์มีการมิกซ์รสชาติใหม่ตามความชอบของนักดื่ม หรือจะเป็นคราฟท์เบียร์ไทยและเบียร์นานาชาติชนิดต่าง ๆ ที่กดจากแท็ปเบียร์เฉพาะของทางร้าน ได้ความสดชื่น สดใหม่ รสนุ่มไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน
สำหรับใครที่ไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ ทาง EPIC SLAP แนะนำให้ลองดื่ม Black Lemonade (130 บาท) หนึ่งใน Signature Drink ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากฉากตบแหลกของสามสาวนักแสดงนำเรื่อง Bitch Slap แก้วนี้ให้รสเข้มข้นเปรี้ยวอมหวานของน้ำเลม่อนที่ผสานเข้ากับผงชาโคลได้อย่างลงตัว
ตามมาด้วย Earlgrey Lychee (165 บาท) ชาเอิร์ลเกรย์ผสมลิ้นจี่ ที่เลือกใช้ชาของ Contessa ให้ความหอมกำลังดี เมื่อนำมาผสมกับน้ำลิ้นจี่แล้วจะให้ความหอมหวานแบบพอดิบพอดี
หากชอบความสดชื่นต้องดื่มน้ำผลไม้สดอย่าง Mango Passionate (165 บาท) น้ำมะม่วงผสมน้ำเสาวรสที่ทางร้านเลือกใช้ของแบรนด์ดอยคำเท่านั้น เสิร์ฟพร้อมกับเนื้อมะม่วงสุกและผลเสาวรสสดที่ให้รสเข้มข้นถึงใจ
Epic of Special Menus
มาถึงเมนูอาหารยอดนิยมของทางร้านกันบ้าง โดยเริ่มต้นที่เมนูทานเล่นสไตล์เม็กซิกันอย่าง Nachos Salsa-Cheese (120 บาท) นาโชส์กรุบกรอบที่เสิร์ฟมาคู่กับซอสซัลซ่าผสมทาบัสโก ให้รสชาติเปรี้ยวปนเผ็ดร้อน
หรือจะเป็น Bruschetta (180 บาท) ขนมปังปิ้งสไตล์อิตาเลียนที่ทางร้านเลือกใช้ French Bread นำมาทากับเนยและซัลซาซอส แล้วอบจนมีกลิ่นหอม ก่อนจะโรยหน้าขนมปังด้วยพาเมซานชีส เมนูนี้ทานตอนร้อน ๆ คู่กับเบียร์เย็น ๆ จะช่วยเพิ่มความอร่อยมากขึ้น
ตามมาด้วยเมนูสลัดให้ได้อิ่มท้องเบา ๆ กับ Caesar Salad (180 บาท) สลัดเรดโอ๊ก กรีนโอ๊ก ที่โรยหน้าด้วยเบคอนอบกรอบ เสิร์ฟมาพร้อมน้ำสลัดที่มีให้เลือกทาน 2 แบบคือน้ำสลัดแบบ Caesar Salad Dressing และน้ำสลัดแบบ Thousand Island Dressing
ส่วนคนไหนที่กำลังมองหาเมนูซุปร้อน ๆ ลองสั่ง Mushroom Cream Soup (150 บาท) ซุปเห็ดสูตรเข้มข้นที่โรยหน้าด้วยพริกไทยดำ เสิร์ฟร้อน ๆ มาพร้อมกับขนมปัง French Bread
จากนั้นปิดท้ายด้วยเมนูไฮไลท์ที่มาเป็นเซ็ตแบบจัดเต็มกับเมนูฟองดูว์ที่มีให้เลือกทานทั้งแบบคาวและแบบหวาน ได้แก่ Cheese Fondu (320 บาท) ฟองดูว์แบบคาวที่ใช้เชสด้าชีสอุ่น ๆ เป็นตัวดิป เสิร์ฟมาพร้อมกับแฮม ไส้กรอก แผ่นตอติญ่ากรอบ ๆ และครัวซองต์นุ่ม ๆ ก่อนจะท้าชิงความอร่อยด้วย Chocolate S’mores Fondu (280 บาท) ฟองดูว์แบบหวานที่ใช้ช็อกโกแลตเป็นตัวดิป โดยความพิเศษนั้นอยู่ที่ซอสช็อกโกแลตซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน เป็นการนำช็อกโกแลตชิพมาเคี่ยวกับนมสดเพื่อให้รสชาติที่ไม่หวานจนเกินไป เมนูนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับท็อปปิ้งขนมและผลไม้ที่ประกอบด้วย มาร์ชเมลโลว์ กล้วยหอม และแอปเปิ้ล ซึ่งผู้ทานสามารถเลือกผลไม้ได้ตามฤดูกาลอีกด้วย