Tea-Centric Cafe is An Urban Oasis
ได้เวลาหลีกหนีความวุ่นวาย แล้วแวะมาผ่อนคลายดื่มด่ำธรรมชาติไปกับ Flâneur Tea คาเฟ่ในสวนสวยที่ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยชาออร์แกนิกหลากหลายรสชาติ โดยทางร้านล้วนคัดสรรและพิถีพิถันในการเบลนด์ชาอย่างมีคุณภาพ อีกทั้งยังเลือกเสิร์ฟความอร่อยควบคู่กันกับเครื่องดื่ม พร้อมด้วยสารพัดเมนูเบเกอรีสูตรโฮมเมดที่ดีต่อสุขภาพ ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ สุดร่มรื่น ราวกับได้นั่งจิบชาชิลล์ ๆ พักสายตาชมวิวสวนสวยตามแบบฉบับผู้ดีอังกฤษ
จากประกาศกรุงเทพมหานคร ทางร้านยังคงเปิดให้บริการตามปกติ โดยสามารถตรวจสอบวันเวลาเปิด-ปิด เพิ่มเติมได้จากทางร้านโดยตรง ผู้ใช้บริการอย่าลืมให้ความสำคัญกับการสวมหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เพื่อลดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19
และในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทางร้านเปิดให้บริการในรูปแบบ Take Away และสั่งเดลิเวอรีผ่านทาง LINE Official @flaneur.tea หรือแอปพลิเคชัน GrabFood, Robinhood และ LINE MAN
Flâneur, Inspired by French Word
เพราะเชื่อว่าพื้นที่สีเขียวนั้นช่วยเยียวยาจิตใจ ทำให้คนเรารู้สึกผ่อนคลายอยู่เสมอ คุณแองจี้-จุฑานุช วงศ์ศิริเดช เจ้าของร้านคาเฟ่ในสวนแห่งนี้ จึงเลือกสร้างสถานที่ที่ให้คนเมืองได้ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการทำงานออฟฟิศหรือเปลี่ยนช่วงเวลาที่เร่งรีบในแต่ละวัน แล้วลองหันมาใช้ช่วงเวลาดี ๆ ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อสร้างความสงบและผ่อนคลายให้กับตัวเอง พร้อมคนในครอบครัวหรือคนสนิทที่ต้องการใช้เวลาดี ๆ ร่วมกัน
และด้วยความที่คุณแองจี้เองชื่นชอบช่วงเวลาพิเศษในยามที่ได้สัมผัสถึงความสุขความสบายใจจากหลากหลายสิ่งที่ไม่เคยคาดหวังมาก่อน ซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เธอจึงเลือกนำโมเมนต์ดังกล่าวมาถ่ายทอดผ่านบรรยากาศสบาย ๆ ภายในร้าน พร้อมเลือกนำคำว่า ‘Flâneur’ ในภาษาฝรั่งเศสมาใช้เป็นชื่อร้าน เพราะคำนี้คือนิยามของบุคคลที่ชอบเดินทางแบบไร้จุดหมาย ซึมซับประสบการณ์การใช้ชีวิตของผู้คน ชิลล์เอาต์ยังที่ต่าง ๆ ในวันสบาย ๆ ได้พักผ่อนในแบบที่ไม่ต้องคิดหรือทำอะไร เป็นช่วงเวลาคุณภาพที่เราได้อยู่กับตัวเองและพักผ่อนจริง ๆ ได้สังเกตสิ่งรอบข้าง มีเวลาสัมผัสธรรมชาติรอบตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะช่วยสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้คนส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับ Flâneur Tea ที่พร้อมเติมเต็มช่วงเวลาดี ๆ ให้กับทุกคนที่แวะเวียนเข้ามายังที่แห่งนี้อยู่เสมอ
Sipping Tea in The Garden
ด้วยความที่เป็นคาเฟ่ในสวน สไตล์การตกแต่งร้านจึงเน้นความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้คนที่เข้ามาที่นี่รู้สึกถึงความผ่อนคลาย นั่งชิลล์ได้แบบไม่ต้องเร่งรีบ
โดยทางร้านได้จัดแบ่งโซนนั่งอย่างเป็นสัดส่วน ทั้งโซนนั่งด้านนอกที่เป็นสวนและโซนนั่งภายในร้านที่มีการจัดโต๊ะ-เก้าอี้แต่ละมุมแบบเว้นระยะห่าง เพื่อความโปร่งโล่งสบายตา และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่เข้ามาใช้บริการจะได้รู้สึกปลอดภัย คลายกังวลในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19
นอกจากนี้ ทางร้านยังมีห้อง Private สำหรับจัดเวิร์คช็อปต่าง ๆ และเป็นห้องรับรองสำหรับใครที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ โดยห้องนี้ถูกดีไซน์มาให้มีลักษณะคล้ายกับเรือนกระจกสำหรับปลูกต้นไม้ มีความเป็นส่วนตัวและเต็มไปด้วยมู้ดโทนอบอุ่นของแสงธรรมชาติที่สาดส่องลงมายังบริเวณนี้แบบพอดิบพอดี
Homemade Bakery and Organic Tea
ทางร้านเน้นเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนูขนมเบเกอรีโฮมเมดอย่างเค้ก ตามมาด้วยหลากหลายเมนูเครื่องดื่ม ทั้งชาและกาแฟ ก่อนจะเพิ่มเติมเมนูใหม่ ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น สลัด, ซุป, พาสต้า และเมนูส่วนใหญ่ที่เสิร์ฟนั้นจะเน้นเพื่อสุขภาพ ลดครีม ลดแป้ง แล้วแทนด้วยส่วนผสมของผักและนม โดยทุกวัตถุดิบที่นำมาใช้ภายในร้านล้วนผ่านการคัดสรรมาเป็นพิเศษ อย่างซอสและครีมต่าง ๆ ที่ทานคู่กับเบเกอรี ทางร้านจะเน้นทำเองในรูปแบบโฮมเมดทั้งสิ้น รวมถึงเมนูมังสวิรัติ สำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์อีกด้วย เพื่อให้คนทานรู้สึกเซอร์ไพรส์และสนุกไปกับการได้ลองทานเมนูใหม่ ๆ อยู่เสมอ
เริ่มต้นกันที่เมนูขนมแนะนำอย่าง Choc - Earl Grey Cream Cheese Frosting (165 บาท) เค้กช็อกโกแลต-เอิร์ลเกรย์ ที่มีกลิ่นอายของความเป็น Dark Beer Cake แต่สร้างความแตกต่างด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่มีส่วนผสมของเบียร์ ทุกคนสามารถทานได้ ก่อนจะเพิ่มความพิเศษลงไปด้วยครีมชีสเอิร์ลเกรย์ โดยชาเอิร์ลเกรย์ที่ใช้นั้นก็เป็นชาออร์แกนิกของไทย ผสมผสานเข้ากับกลิ่นเบอร์กามอตจากอิตาลี แล้วนำมาทำเป็นครีมชีสด้านบน ได้เนื้อสัมผัสที่หนัก ได้รสช็อกโกแลต Valrhona เข้มข้น
หรือจะลองทาน Lemon Tart (145 บาท) เลมอนทาร์ตที่พิถีพิถันในการเลือกสรรเลมอนที่ให้รสชาติไม่เปรี้ยวจนเกินไป พร้อมเพิ่มเนื้อสัมผัสของส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปในตัวทาร์ตมากขึ้น ให้รสเปรี้ยวอมหวานละมุนกำลังดี ทานได้แบบเพลิน ๆ
นอกจากเมนูเค้กและทาร์ตยอดนิยมของทางร้านแล้ว ขอเอาใจคนเลิฟครัวซองต์และวาฟเฟิลสักหน่อยด้วยเมนู Croffle (145 บาท) ครัวซองต์เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ทำออกมาในลักษณะของวาฟเฟิล เสิร์ฟคู่กับซอสมัทฉะหรือเคิร์ดยูซุที่ทางร้านทำเอง คอนเฟิร์มว่าอร่อยลงตัว (ซึ่งในอนาคตทางร้านจะเสิร์ฟให้ทานคู่กันกับไอศกรีมรสชาติต่าง ๆ อีกด้วย)
ปิดท้ายกันด้วยเมนูชาออร์แกนิกทั้งแบบร้อนและเย็นที่นิยมนำมาดื่มเพื่อตัดเลี่ยนกับขนมเบเกอรี และจิบเพื่อความรื่นรมย์ผ่อนคลายในระหว่างวัน
ด้วยความที่คุณแองจี้มีความสนใจในเรื่องของชาเป็นพิเศษ จึงลงมือศึกษาเรื่องของชาและเรียนรู้วิธีการเบลนด์ชาอย่างจริงจัง โดยทางร้านได้มีการติดต่อโดยตรงกับทางไร่ชาออร์แกนิกในเมืองไทย มีการลงพื้นที่สำรวจและเยี่ยมชมการผลิตชาถึงแหล่งเพาะปลูกบนดอยของจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายด้วยตัวเอง
ในส่วนของการเบลนด์ชา ทางร้านได้มีการนำชามาผสมเข้ากับผลไม้อบแห้ง เพื่อให้ชานั้นมีกลิ่นหอมหวานของผลไม้และดื่มง่ายขึ้น รวมถึงได้มีการคัดเลือกชาประเภทอื่น ๆ ไว้สำหรับเสิร์ฟให้บริการคนที่ดื่มชาแบบจริงจังด้วย เพื่อเป็นทางเลือก เพิ่มความหลากหลายให้กับการดื่มชาของทางร้าน
ครั้งนี้ทางร้านแนะนำให้ลองดื่มเซ็ตชาร้อน Hot Rooibos (140 บาท) หนึ่งในชาซิกเนเจอร์ของทางร้าน โดยชา Rooibos นี้ เหมาะที่จะทานคู่กันกับเค้กช็อกโกแลตเอิร์ลเกรย์ เพราะดื่มง่าย ให้รสชาติแบบคลีน ๆ หอมกลิ่นวานิลลานิด ๆ โดยความพิเศษของชาสูตรนี้ คือเป็นชา Decaf ที่ไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน มาพร้อมคุณประโยชน์ที่ดื่มแล้วช่วยลดบวมภายในร่างกาย เด็กดื่มได้ผู้ใหญ่ดื่มดีอีกด้วย
การเสิร์ฟเซ็ตชา ทางร้านจะแนบรายละเอียดหรือคำอธิบายเกี่ยวกับประเภทของชานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่มา รสชาติ ปริมาณน้ำที่ใช้ ระดับอุณหภูมิ และระยะเวลาที่เหมาะสมในการต้มชา ให้ได้อ่านกันแบบเพลิน ๆ ระหว่างจิบชา