Unique Urban Farm Dining Experience
หลังจากที่ร้าน Haoma ร้านอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นเอกลักษณ์ในย่านเอกมัย นำโดย เชฟ Deepanker Khosla หรือ เชฟดีเค เชฟหนุ่มชาวอินเดียมากฝีมือ ได้เปิดให้บริการมามากกว่า 2 ปี ก็ถึงเวลาปรับรูปแบบเมนูใหม่พร้อมต้อนรับเหล่าฟู้ดดี้ทั้งชาวไทยและชาวต่างได้ชาติได้ลิ้มลองกัน สำหรับเชฟดีเคนั้น มีร้านอาหารของตัวเองทั้งในประเทศอินเดียและบาหลี โดยเชฟดีเคได้เริ่มหลงรักในการทำอาหารตั้งแต่วัยรุ่น เคยผ่านการทำงานในครัวที่ร้านอาหารและโรงแรมชื่อดังมาแล้วทั่วโลก
Close To Nature
คำว่า Haoma หมายถึง ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อโบราณ โดยเป็นต้นไม้ที่เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งและหยั่งรากลึกเพื่อเป็นแหล่งสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่โลกนี้ สำหรับการตกแต่งร้านจะเน้นผสมผสานความเป็นธรรมชาติเข้าไปให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้และปูนเปลือย ติดกระจกใสบานใหญ่รอบร้านเพื่อให้เห็นภาพของสวนผักด้านหลังร้าน และยังมีโซนที่นั่งบริเวณกลางสวนสำหรับช่วงเวลาเย็น ๆ อีกด้วย
We Grow What We Cook, We Cook What We Love
เชฟดีเคได้ใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการศึกษาทดลองด้านเกษตรกรรมและอาหารเพื่อสุขภาพ ก่อนจะสร้างสวนผักแห่งนี้ขึ้นมา เกิดจากความตั้งใจที่ต้องการเสิร์ฟอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายในสวนผักสีเขียวนี้ มีพันธุ์ผักและสมุนไพรหลากหลายชนิด ถูกปลูกด้วยวิธีที่ต่างกัน ไม่ว่าจะปลูกแบบ Hydroponics, Aquaponics หรือดินออร์แกนิก ซึ่งผักและสมุนไพรทุกชนิดที่ปลูกที่สวนนี้ล้วนเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารและเครื่องดื่มของทางร้านทั้งสิ้น นอกจากนี้ ยังมีโซนบ่อปลา ที่ทางร้านเลี้ยงไว้เพื่อนำน้ำในบ่อปลามาหมุนเวียนปลูกผักต่อไป เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และนอกจากจะใช้ผักและสมุนไพรจากสวนภายในร้านแล้ว ทางเชฟดีเคยังได้ใช้วัตถุดิบจากฟาร์มออร์แกนิกหลากหลายแหล่งมาประกอบอาหารด้วย
The Journey Through Heritage, Roots & Culture
สำหรับอาหารของ Haoma จะเป็นสไตล์ Neo-Indian ที่ทางเชฟนำอาหารอินเดียมานำเสนอในรูปแบบใหม่ โดยคอร์สอาหารสุดพิเศษนี้มีให้เลือกลองทั้งแบบ A la carte และแบบคอร์ส มีคอร์สแนะนำอย่าง Nature's Tasting Menus (10 คอร์ส ราคา 2,990 บาท++) โดยมีให้เลือกทานทั้งแบบปกติ และคอร์ส Plant Based เอาใจคนทานอาหารมังสวิรัติอีกด้วย เชฟดีเคเล่าถึงที่มาของอาหารคอร์สนี้ว่า เชฟได้ถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ในวัยเด็กของเชฟผสมผสานกับการเชิดชูวัตถุดิบจากธรรมชาติ ร้อยเรียงออกมาเป็นคอร์สอาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมให้คนที่มาทานได้เดินทางไปพร้อมกับเมนูแต่ละคอร์ส
ทุกเมนูของที่นี่จะมีส่วนประกอบที่ทางร้านปลูกเองอยู่ด้วย มีเมนูแนะนำอย่าง Daal เมนูที่ทางเชฟนำวัตถุดิบอย่าง มันฝรั่ง มาผสมผสานกับ Green Lentils เพิ่มรสชาติด้วย Jaipur Chilli สามารถตักทุกอย่างทานพร้อมกันได้เลย
"Pondicherry" Pulissery เมนูซุปสุดคลาสสิกที่มีต้นกำเนิดจากเมือง Pondicherry (เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสในยุค 1900s) โดยเล่ากันว่าเมนูนี้เป็นต้นกำเนิดของเมนูอาหารฝรั่งเศสชื่อดังอย่าง Bouillabaisse เชฟได้ปรุงเมนูนี้ในสไตล์อินเดีย เลือกใช้เครื่องเทศอินเดียผสมผสานกับอาหารทะเล นอกจากนี้ ยังเสิร์ฟมาพร้อมควันหอม ๆ จากน้ำดอกกุหลาบอีกด้วยอีกเมนูที่เชฟภูมิใจนำเสนอ The Disappearing Duck เมนูนี้เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากตอนที่เชฟไปฟาร์มเลี้ยงเป็ดที่เชียงใหม่ และพบว่าฝูงเป็ดเดินหายไป จานนี้มีกิมมิกอยู่ที่มูสรูปเป็ดตรงกลางจาน และเมื่อนำแกงสไตล์อินเดียราดลงไป ตัวมูสเป็ดจะค่อย ๆ ละลายหายไป เสิร์ฟพร้อมข้าวบัสมาติก
ต่อด้วยเมนู Farmers Fuel ขนมปังสไตล์อินเดีย Baati เสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องเคียงหรือน้ำจิ้มสไตล์อินเดียหลากชนิด หรือจะเป็นเมนู Nigilri ที่สามารถเลือกได้
และเมนู Khandvi เมนูที่มีที่มาจากการต้องการเฉลิมฉลองความสำเร็จของโครงการ Noonehungry ที่ทางเชฟได้มอบอาหารฟรีกับผู้ยากไร้ในช่วงวิกฤต Covid -19 ที่ผ่านมา โดยเมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากวัตถุดิบที่ทางการอินเดียครีเอตขึ้นเพื่อแจกจ่ายในช่วงวิกฤตขาดแคลนอาหารในยุค 50's นั่นก็คือ Bengal Gram Lentil ที่ทางเชฟนำมาทำเป็นคัสตาร์ด ทานคู่กับใบกระหรี่, Kalamansi Lemon Gel และเพิ่มด้วย Royal Oscietra caviar จากหัวหิน
สำหรับใครที่อยากมาลองทานอาหารอินเดียในรูปแบบใหม่ที่นี่ แนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้า สำหรับคนชอบดื่ม ทางร้านยังมีแพริ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี และอย่าลืมลองสั่งชามินต์ มาดื่มปิดท้ายมื้อ เพราะทางร้านใช้ใบมินท์สด ๆ ที่ปลูกเอง ชงกับน้ำร้อน ทำให้ได้ทั้งความหอมและรสที่แตกต่างจากชาทั่ว ๆ ไป