2-Star Michelin Restaurant
J’AIME by Jean-Michel Lorain (แฌม บาย ฌอง-มิเชล โลรองด์) ร้านอาหารฝรั่งเศส Fine Dining โดย เชฟ Jean-Michel Lorain เจ้าของโรงแรมและห้องอาหาร La Côte Saint-Jacques แคว้นเบอร์กันดี ประเทศฝรั่งเศส ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นร้านอาหารมิชลิน 2 ดาว พร้อมกันนี้ยังได้การันตีคุณภาพความอร่อยปังด้วยรางวัล MICHELIN Green Star 2024 ซึ่งทางร้านได้ให้ความสำคัญ ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควบคู่กันอีกด้วย
From Burgundy to Bangkok
ปัจจุบันร้านอาหาร J’AIME by Jean-Michel Lorain บริหารโดยทายาทรุ่นที่สาม คุณ Marine Lorain โดยถอดแบบการบริการและอาหารมาจากห้องอาหารที่ฝรั่งเศสทั้งหมด
Upside-Down
J’AIME by Jean-Michel Lorain ตั้งอยู่ที่ชั้นสองของโรงแรม U Sathorn ภายในร้านตกแต่งไม่ซ้ำใครด้วยรูปแบบ Upside-Down จัดวางเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งสลับจากล่างขึ้นบนและจากบนลงล่าง ไม่ว่าจะเป็นเปียโนที่ห้อยบนเพดาน หรือแชนเดอเลียร์ที่วางหงายบนพื้น ในส่วนบรรยากาศของร้านยังคงความเรียบหรูตามแบบฉบับห้องอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง
Young & Talented Chef
แต่เดิมทางร้านได้เชฟ Amerigo Sesti ชาวอิตาเลียน มาเป็นเชฟใหญ่ โดยเชฟ Amerigo เคยทำงานกับเชฟ Lorain มาก่อน และได้ร่วมงานกับร้านอาหารหลายประเทศในยุโรป ทั้งอังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบัน ทางร้านได้มีการปรับทีมรังสรรค์ความอร่อยครั้งใหม่ นำทีมนำโดย เชฟ Nicolas Keller หัวหน้าเชฟคนใหม่ ผู้หลงใหลในการทำอาหารฝรั่งเศส จากแคว้นอาลซัส ที่ผ่านการฝึกฝนทักษะอันเข้มงวดเป็นเวลา 4 ปี ภายใต้การดูแลของเชฟฌองมิเชล โลรองต์ ในร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์อย่าง La Cote Saint Jacque การันตีได้เลยว่าการรังสรรค์อาหารแต่ละเมนูของที่นี่จะต้องได้มาตรฐานความอร่อยอย่างมีคุณภาพเช่นเดิม
French Cuisine with Modern Technique
สำหรับอาหารของที่นี่ ใส่ใจทุกรายละเอียด พิถีพิถันกับขั้นตอนการปรุงอาหาร รวมถึงการใช้ศิลปะและความร่วมสมัยใส่ลงไปในอาหารแต่ละจาน ผสมผสานวัตถุดิบทั้งจากต่างประเทศและท้องถิ่นเข้าด้วยกัน แต่ยังคงใช้เทคนิคการทำอาหารแบบฝรั่งเศส เพื่อให้อาหารที่นี่ได้รสชาติต้นตำรับ ทางร้านให้บริการทั้งมื้อกลางวันและมื้อค่ำ มีให้เลือกแบบอะลาคาร์ทหรือเซ็ตเมนู สำหรับครั้งนี้ทางร้านได้เลือกรังสรรค์ความอร่อยผ่านคอร์สพิเศษที่มีให้เลือกเสิร์ฟแบบ Wonders Menu 7 คอร์ส (4,300 บาท/คน) Memories Menu 5 คอร์ส (2,900 บาท/คน) และ Picnic Lunch 4 คอร์ส (1,700 บาท/คน) มาพร้อมการผสมผสานเทคนิคการปรุงอาหารสูตรลับและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเชฟฌองมิเชล โลรองต์
Fresh Start
สำหรับคอร์ส Memories Menu 5 คอร์ส (2,900 บาท/คน) เริ่มต้นเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยอย่าง Char-grilled bamboo clams aged vinegar หอยไม้ไผ่ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไส้กรอกหมู องุ่น ซึ่งเป็นการผสมผสานรสชาติระหว่างวัตถุดิบอาหารคาวและผลไม้ได้อย่างลงตัว ก่อนจะท็อปด้านบนด้วย Mango Gel ที่มาเสริมรสชาติเปรี้ยวอมหวานสุดสดชื่น เป็นการเปิดต่อมรับรสชาติก่อนเริ่มต้นมื้ออาหารได้เป็นอย่างดี
ต่อด้วย Wild caught Ronin Jack tartar, suaeda maritima chlorophyls จานปลา ที่ทางร้านเลือกใช้ปลาจากจังหวัดพังงา นำไปหมักกับน้ำปลาและซอสมะเขือเทศ จนได้รสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อ เสิร์ฟคู่มากับ Sorbet ที่ทำจากใบชะคราม พืชผักสมุนไพรท้องถิ่นที่ทางร้านสนับสนุนนำมาเป็นวัตถุดิบในประกอบอาหาร และ Chips ที่มีให้เลือกรับประทาน 3 แบบด้วยกัน ได้แก่ Chips สีเขียวที่ทำมาจากใบชะคราม, Chips สีขาวที่ทำมาจากเกล็ดปลา, Chips สีน้ำตาลที่ทำมาจากก้างปลา ผสมกับขนมปัง เป็นการนำเสนอความอร่อยภายใต้คอนเซ็ปต์การเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่น และวัตถุดิบ Zero Waste ที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง
หรือลองสั่ง Tiger Prawns and heart of palm rosace, sweet potato and coconut rouille กุ้งลายเสือจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ทีมเชฟนำไป Slow Cooked ในน้ำมัน เสิร์ฟคู่มากับยอดมะพร้าวอ่อนที่นำมารองเป็นฐานด้านล่าง ส่วนด้านบนนั้นวัตถุดิบที่นำมาผสมผสานรสชาติจะเป็นเผือกสีน้ำตาลและสีขาว โดยเผือกสีน้ำตาลจะนำไปอินฟิวส์ในซอสกุ้ง และเผือกสีขาวจะนำไปอินฟิวส์ในซอสมะพร้าว ตามด้วยการโรยต้นหอม พร้อมเสิร์ฟเคียงมากับซอสจากมันหวานและครีมมะพร้าวให้ได้รับประทานเสริมรสชาติที่เข้ากันFrom Locals To Table
หลังจากเรียกน้ำย่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาจัดเต็มความอร่อยกับสารพัดเมนูภายในคอร์สที่ล้วนผ่านการคัดสรรและเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นคุณภาพในไทยจากแหล่งวัตถุดิบต่าง ๆ ทั่วทุกภูมิภาคมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารจานพิเศษ อาทิ Sauteed Pen shells, caviar, finger lime, spring onion virgin sauce หอยเชลล์จากสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ที่เชฟนำมาผัดเข้ากับซอสต้นหอม ส่วนด้านในจะเป็นคาเวียร์จากหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมท็อปด้วยต้นหอมซอยและพริกซอย สำหรับเมนูนี้จะได้เนื้อสัมผัสที่นุ่มหนึบของหอยเชลล์และซอสสูตรเฉพาะที่ผัดเคลือบเข้ากับเนื้อหอยได้แบบเข้มข้นถึงรส!
ต่อเนื่องเมนูหอยอีกสักจานกับ Warm sea snails persillade, aioli sabayon ซึ่งเชฟได้เลือกใช้หอยหวานเป็นวัตถุดิบหลัก ตัดรสเลี่ยนด้วยซอสพาสลีย์ พูเรกระเทียม ใบขึ้นฉ่าย และต้นหอม พร้อมราดซอส sabayon (ซอสที่มีส่วนผสมของครีมและไข่) ที่มาช่วยเสริมความกลมกล่อม ได้ความอร่อยที่ลงตัวจากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศจากการรับประทานหอยมาเป็นวัตถุดิบซีฟู้ดอย่างอื่นกันบ้างกับเมนูจานหลัก Wild spotted grouper, prawn’s coral and safflower bouille ปลาทะเลจากน่านน้ำอันดามัน ซึ่งวิธีการทำเมนูนี้นั้น เชฟจะนำส่วนของหนังปลาไปต้มก่อน แล้วตามด้วยการ Pan-sear ในกระทะร้อน เสิร์ฟคู่มากับมะเขือเทศกงฟีต์ มะเขือเทศราชินีหรือมะเขือเทศเชอร์รี และปลาหมึก แล้วราดตามด้วยซอสจากเปลือกกุ้ง ได้ความนุ่มแน่นของเนื้อปลาที่เข้ากันดีกับความชุ่มฉ่ำของซอสเปลือกกุ้งรสเข้มข้นกลมกล่อม
ท้าชิงความอร่อยด้วยเมนู Confit baby lamb shoulder, macadamia, peas & garden’s herbs สเต๊กเนื้อแกะจากปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ที่นำมากงฟีต์ 1 คืน จนได้ความกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสแกะเข้มข้น ซอสแมคคาเดเมียผสมกับพูเรถั่วลันเตา และโฟมถั่วลันเตา
Signature Desserts
ปิดท้ายมื้ออร่อยด้วยขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสอย่าง Kad Kokoa Chiang Mai chocolate and lemon-basil ช็อกโกแลตมูสเข้มข้น ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับซอร์เบท์เลมอนผสมใบแมงลัก ได้รสชาติแปลกใหม่แต่อร่อยลงตัว ถูกใจเหล่า Chocolate Lovers แน่นอน หรือจะเป็น Michel Lorain’s signature Mille-feuille with vanilla ขนมมิลล์เฟยสไตล์ฝรั่งเศส สูตรดั้งเดิมที่เป็นแป้ง Pastry Puff วางซ้อนเป็นชั้นสลับกับ Pastry Cream 3 ชนิด และสตรอเบอร์รีสดจากหัวหิน เป็นการเสิร์ฟความอร่อยฟินส่งท้ายมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ