Thai Casual Fine Dining with Wood and Fire
ชวนมาทำความรู้จักกับ Kwann (ควัน) ร้านอาหารไทยที่เสิร์ฟอาหารในรูปแบบ Casual Fine Dining พร้อมความตั้งใจชูวัตถุดิบพื้นบ้านของไทยที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวมารังสรรค์เป็นจานพิเศษผ่านเทคนิคการใช้ฟืน ไฟ และการรมควันจากถ่านไม้พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารไทยรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร
Kwann ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของโรงแรม นีสา กรุงเทพฯ โรงแรมระดับ 5 ดาวในซอยสุขุมวิท 13 นำความอร่อยโดยเชฟโจ-ณพล จัทรเกตุ, เชฟเซ็ฟ-จิรพัทธ์ ประพจนาภรณ์, เชฟ-Saki Hoshino และยังมี เชฟบอม-ปิยะพงษ์ มิ่งงาม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ การันตีด้วยรางวัลระดับดาวมิชลิน ที่นี่พร้อมเสิร์ฟเมนูอร่อยให้ได้ชิมกันทั้งในรูปแบบ A la carte และ Chef’s Choice Tasting Menu
Luxury but Comfy Vibes
ในเรื่องของบรรยากาศที่นี่เน้นใช้โทนสีส้ม - ดำ เพิ่มมิติและบรรยากาศที่เรียบหรูด้วยการเลือกใช้ไฟในจุดต่าง ๆ มุมที่นั่งถูกจัดวางได้อย่างไม่อึดอัดและเป็นส่วนตัว มีส่วนหน้าบาร์ที่พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มแก้วพิเศษ ส่วนของครัวเป็นแบบ Open Kitchen พร้อมให้ทุกคนได้ชมบรรยากาศการทำอาหารได้แบบเพลิน ๆ
Thai Authentic Food
ส่วนเรื่องของเมนูอาหาร ที่ร้านเสิร์ฟเป็นกับข้าวแบบไทย ๆ ที่ทานคู่กับข้าวของไทยหลากหลายสายพันธุ์ โดยตอนนี้ที่ร้านมีข้าว 2 แบบให้เลือก คือข้าวหอมมะลิออแกนิค จากเกษตรกรชุมชนจังหวัดยโสธรซึ่งที่เกษตรจะทำการสีข้าวเมื่อได้รับออเดอร์จากทางร้านเพื่อความสดใหม่ และข้าวสังข์หยดจากจังหวัดพัทลุง ซึ่งหาทานยากและสามารถปลูกได้ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
ก่อนเริ่มมื้ออาหาร ที่ร้านจะเสิร์ฟ Welcome Drinks อย่าง Kwann Ginger Beer Kombucha เรียกความสดชื่นกันก่อนจะเริ่มจานเรียกน้ำย่อย ครั้งนี้เราเลือกเป็น Kanom Bueang Pu (360 บาท) ขนมเบื้องปูที่ได้แรงบันดาลใจจากขนมเบื้องไทยที่มีทั้งไส้หวานและไส้เค็ม โดยที่ร้านเลือกใช้เนื้อปูม้ามาผ่านการรมควันเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปของทางร้าน เสิร์ฟมาเป็นคำ ๆ ทานง่าย รองด้วยใบชะพลู
หรือจะเป็น Mala Beef Tartare (450 บาท) ทาร์ทาร์เนื้อที่เพิ่มความเผ็ดซ่าชาลิ้นด้วยส่วนประกิบของหม่าล่าแบบจีน ๆ โดยเชฟใช้เนื้อ Charred Thai NK Wagyu มาเป็นวัตถุดิบหลัก เคล้าด้วยเครื่องเทศ สมุนไพรไทย และปรุงด้วยรสจัดจ้าน ท็อปด้วยไข่แดงรมควัน
อีกจานไฮไลต์ขอยกให้ Grilled Squid Skewers (390 บาท) ปลาหมึกย่างซอสไข่เค็มแบบไทย ๆ เสิร์ฟมาในรูปแบบใหม่ที่เชฟตั้งใจครีเอตให้มีความเป็นสากลมากขึ้น เนื้อปลาหมึกที่สดใหม่ให้ความหวานจากธรรมชาติ ราดด้วยซอสไข่เค็มรสชาติกลมกล่อมสูตรเฉพาะของทางร้าน ท็อปด้วยไข่แดงขูด กลายมาเป็นเท็กเจอร์ให้เคี้ยวกันได้เพลิน ๆ
จานต่อมาเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี ในเมนู Phla (390 บาท) พล่าปลารมควันที่เชฟเลือกใช้เนื้อปลาจากชาวประมงพื้นบ้านมาผ่านกรรมวิธีรมควันจนหอม เสิร์ฟมากับสมุนไพรไทยสีเขียวสวย ๆ เพิ่มรสเปรี้ยวเค็มจัดจ้านกลมกล่อม เตรียมพร้อมสำหรับจานถัดไป
มาถึงส่วนของซุปกันบ้าง ครั้งนี้เราเลือกชิม Tom Klong (770 บาท) ต้มโคล้งกุ้งแม่น้ำที่โดดเด่นด้วยกลิ่นหอม ๆ ของสมุนไพรไทยที่ถูกปรุงมาเป็นอย่างดีในซุปร้อน ๆ ราดลงบนกุ้งแม่น้ำตัวโตเนื้อแน่นที่ผ่านการเบิร์นมาเล็กน้อยพอได้กลิ่นหอม ๆ กลายเป็นความลงตัวที่น่าประทับใจ
เดินทางมาถึงส่วนของจานหลักกันแล้ว แนะนำเมนู Smoked Brisket (880 บาท) แกงถั่วเนื้อรมควันที่ได้แรงบันดาลใจจากแกงแพนง โดยเพิ่มส่วนผสมของถั่วและซอส Mole ของประเทศเม็กซิโกซึ่งมีส่วนผสมของช็อกโกแลตที่เข้ากันเป็นอย่างดี จานนี้เสิร์ฟเนื้อส่วนของ Smoked Brisket หอม ๆ จากกลิ่นรมควันมากับแกงถั่วรสชาติเข้มข้น เคียงมากับ Nan Bread เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดอง มันแกวดอง แตงกวาดอง ให้ทานคู่กัน
ตามด้วย Nam Prik Plaa-Yang (290 บาท) น้ำพริกปลาย่างที่เชฟใช้ปลาท้องถิ่นมาย่างไฟจนหอมกรุ่นโขลกหยาบ ๆ และปรุงรสจนกลมกล่อม เสิร์ฟมากับผักสดพื้นบ้านและผลไม้ตามฤดูกาลให้ทานคู่กัน หรือจะทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็อร่อยลงตัว
ปิดจบด้วยของหวานอย่าง Corn & Coconut Butter Ice Cream (340 บาท) ไอศกรีมข้าวโพดและมะพร้าวรสชาติหวานหอม มาพร้อม Coconut Meringue เค้กมะพร้าว และป๊อปคอร์นเพิ่มเท็กเจอร์ หรือจะเป็น Kanom Mor Gaeng (290 บาท) บาร์กชีสเค้กขนมหม้อแกงเนื้อเนียน เพิ่มความกรุบกรอบให้ได้เคี้ยวด้วย Miso Crumble เคียงมากับไอศกรีมมะพร้าวสุดเข้มข้นให้ทานไปพร้อมกัน เป็นอันจบมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ