'Enjoy Sophisticated Vibes X The Life Artois' at La Brace
The Life Artois ชวนคุณมาใช้ช่วงเวลาดี ๆ ให้รางวัลตัวเองไปกับเครื่องดื่มดีต่อใจคู่กับอาหารอร่อย ๆ วางทุกความเครียด และชิลล์เอาต์ไปกับหลากหลายร้านบรรรยากาศดีที่เราคัดสรรมาให้คุณแล้ว ในซีรีส์คอนเทนต์ Enjoy Sophisticated Vibes X The Life Artois
ครั้งนี้เราพามาดินเนอร์มื้อพิเศษกันที่ La Brace Grill House & Wine Bar กริลล์เฮ้าส์และไวน์บาร์ระดับพรีเมียมใจกลางเอกมัย ที่ต้อนรับนักชิมด้วยรสชาติของวัตถุดิบพรีเมียมจากทั่วโลก ผ่านการปรุงรสเลิศแบบ ‘เมดิเตอร์เรเนียนกริลล์’ โดยเชฟระดับโรงแรม
‘La Brace’ เป็นภาษาอิตาเลียน ที่มีความหมายถึง ’ถ่านไฟที่กำลังคุ’ สื่อถึงเทคนิคการปรุงอาหารของร้าน ที่เน้นการย่างหรือกริลล์ด้วยถ่านจากไม้คุณภาพดีในเตาที่ออกแบบพิเศษ สะอาด และถูกสุขอนามัย โดยเชฟที่ชำนาญการย่าง
บรรยากาศร้านเรียบหรูด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และสไตล์การตกแต่งในโทนสีน้ำตาลทอง ที่เน้นความโปร่งโล่งสบาย ด้วยเพดานสูงกว่า 8 เมตร ตกแต่งเพิ่ม vibes ความโรแมนติกในการดินเนอร์เคล้าไปกับเครื่องดื่มคู่ใจ ด้วยการจัดไฟและผนังห้องขนาดใหญ่ที่ติดลายวอล์ลเปเปอร์เป็นโถงหินกว้างสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน จนลืมไปเลยว่ากำลังนั่งทานอาหารอยู่ในย่านเอกมัย
ด้านบนชั้นลอยจัดเป็นโซน Private Rooms ขณะที่โซนด้านล่างมี จะมี Open Kitchen เผยให้เห็นบรรยากาศการรังสรรค์ความอร่อยของเชฟที่พิถีพิถันในการทำอาหารแต่ละจาน และเพลิดเพลินไปกับโซนต่าง ๆ ภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น Oyster Bar, Champagne & Wine Bar และ Charcuterie Selection Counter ที่คุณสามารถช้อปวัตถุดิบที่ชอบในปริมาณที่ต้องการจากเคาน์เตอร์ภายในร้าน เพื่อดีไซน์อาหารจานพิเศษให้เชฟนำปรุงโดยเฉพาะเพื่อคุณ ถือเป็นหนึ่งในสีสันของการรับประทานในร้านที่ไม่จำเจอีกต่อไป
All Good Taste from Premium Ingredients
เพราะอาหารจะอร่อยได้ ต้องเริ่มที่วัตถุดิบคุณภาพ โดยเชฟมีหน้าที่ทำให้วัตถุดิบนั้นโดดเด่นยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญของ La Brace คือการคัดสรรวัตถุดิบมีคุณภาพสูงมาจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งเนื้อวัวเกรดพรีเมียม และซีฟู้ดสดใหม่ที่นำเข้าจากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียงทั้งยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย และเอเซีย รวมไปถึงวัตถุดิบอื่น ๆ อย่าง ผักและผลไม้ตามฤดูกาลเพื่อรสชาติที่ดีที่สุด โดยมีทีมเชฟประจำร้านอย่าง ‘มาร์ค เฮเก็นแบ็ค’ อดีตเชฟใหญ่ชาวออสเตรเลียที่มีประสบการณ์ในการทำงานจากโรงแรมดัง ๆ มากมาย รวมถึงโรงแรม Grand Hyatt Erawan Bangkok และ ทีมเชฟชำนาญการเฉพาะจากหลากหลายที่มารวมตัวกัน
หนึ่งในวัตถุดิบที่โดดเด่นของร้านคือเนื้อนำเข้าเกรดพรีเมียม ที่ผ่านกรรมวิธี Wet-aged แบบไม่เหมือนใคร โดยการนำเนื้อไปหมักหรือเรียกว่าบ่มเปียก ในบรรจุภัณฑ์พลาสติกสุญญากาศที่อุณหภูมิ 0 องศา เป็นเวลาประมาณ 45-60 วัน เพื่อให้เอนไซม์ในเนื้อค่อย ๆ ย่อยให้เนื้อนุ่มลง สีสวยและรสชาติดียิ่งขึ้น
ขอเปิดตัวด้วยเมนูแรกอย่าง Wagyu Striplion +5 “Westholme” (650 บาท/100 กรัม) เนื้อออสเตรเลียวากิว+5 สตริปลอยน์จากวัวที่กินเกรนเฟลกเป็นเวลากว่า 400 วัน ทำให้เนื้อมีลายไขมันที่พอดี ก่อนจะผ่านการบ่มเปียกทำให้เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟคู่กับมัสตาร์ด 3 ชนิด แต่แค่โรยเกลือและพริกไทยเบา ๆ ก็อร่อยเลิศ โดยเฉพาะยิ่งทานคู่กับเครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้วก็ช่วยชูรสชาติให้เนื้ออร่อยยิ่งขึ้น
Pasta Arrabiata (450 บาท) เมนูออริจินัลของชาวอิตาเลียน ซึ่งเป็นสปาเก็ตตี้ซอสแดงที่ได้รสจัดจ้านจากพริกแห้งประกอบกับความหอมจากโหระพาและน้ำมันมะกอก ทานคู่มะเขือเทศสดใหม่ที่ความหวานธรรมชาติ ทำให้รสชาติเข้ากันอย่างลงตัวและถูกปากคนไทย
ถัดมาเป็น Mixed Sausages Chorizo, Italian and Pork Nurnburger (580 บาท) ไส้กรอกโฮมเมดที่คัดสรรความอร่อยรวมของไส้กรอก Chorizo, Italian and Pork Nurnburger มาให้ทานแบบไม่มีเบื่อ โดยได้เชฟ 'นอร์เบิร์ต คอสเนอร์' จากโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ลเป็นคนคิดค้นสูตรลับความอร่อยให้โดยเฉพาะ
และสุดท้ายมีเครื่องดื่มดีต่อใจก็ต้องทานคู่กับ Mixed Premium Cold Cuts (790 บาท) จานโคลด์คัทสุดพิเศษ ที่คัดสรรไอเบอริโกแฮมสเปนและซาลามีที่ดรายเอจนานถึง 36 เดือน ก่อนจะสไลซ์เป็นแผ่นบาง ๆ จัดวางพร้อมชีสที่คุณสามารถ Selection เองได้ ไม่ว่าจะเป็น บลูชีส โกทชีส ทรัฟเฟิลชีส ทางร้านก็มีให้เลือกหลากหลายตามความชอบ