The Hidden Thai Cafe in Phranakorn
ชวนคนรักอาหารไทยไปตามหาความอร่อยระดับติดดาว ซึ่งบางครั้งบางคราวก็อาจซ่อนตัวอยูในพิกัดที่เราอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อน รอคอยการค้นพบ เพื่อเติมเต็มความสุขเล็ก ๆ ให้เหล่านักชิมทั้งหลายในระหว่างวันอย่างที่ร้าน บ้านลลิณ คาเฟ่อาหารไทยสไตล์ Comfort Food แห่งนี้ ที่ตั้งอยู่ภายในบ้านไม้เก่าแก่อายุอานามกว่า 100 ปี ใจกลางชุมชนตรอกศิลป์-ตรอกตึกดิน ย่านพระนคร (เสาชิงช้า) พร้อมต้อนรับและเสิร์ฟความอร่อยแก่ผู้มาเยือนทุกคนด้วยสารพัดเมนูอาหารไทยทานง่าย และเบเกอรีสไตล์ไทย ๆ ฝีมือสองสาว MasterChef Thailand ท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิกและวิถีชีวิตอันเนิบช้าของผู้คนในชุมชน
Turning Back Time
บ้านลลิณ นับเป็นร้านอาหารไทยที่ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบของคาเฟ่ภายใต้แนวคิดของ คุณพลอย-ณัฐณิชา บุญเลิศ และ คุณน้ำฝน-ลักษณาวดี ศรีพรสวรรค์ สองสาวเพื่อนรักที่ชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือการทำอาหาร นำพาให้เธอทั้งคู่มาพบกันในรายการ MasterChef Thailand Season 1 ครั้นหลังจบการแข่งขัน ทั้งคู่จึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันไปโดยปริยาย ก่อนจะตัดสินใจมาเปิดร้านอาหารแห่งนี้ด้วยกัน โดยนำเอาความถนัดของแต่ละคน อย่างเมนูอาหารไทยทานง่ายสไตล์น้ำฝน มาผสมผสานเข้ากับขนมหวานและเครื่องดื่มแบบไทยประยุกต์ที่พลอยถนัด แล้วถ่ายทอดออกมาให้สอดคล้องกับบรรยากาศของบ้านไม้โบราณแห่งนี้
ที่มาของชื่อร้าน เกิดจากการรวมชื่อกันระหว่างคุณพลอยและคุณน้ำฝน ผ่านวิธีการตั้งชื่อลูกหลานของคนไทยสมัยก่อน ตามตำราการผสมชื่อแบบคนโบราณ โดยนำชื่อของคุณฝน ‘ลักษณาวดี’ มาสนธิหรือเชื่อมเข้ากับชื่อของคุณพลอย ‘ณัฐณิชา’ จนกระทั่งได้ชื่อร้านที่ทั้งไพเราะและเหมาะสมว่า ‘ลลิณ’ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน สื่อถึงความเป็นไทยและความเป็นผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
ด้วยความที่คุณพลอยและคุณฝนเติบโตมาในครอบครัวที่รายล้อมไปด้วยญาติผู้ใหญ่ ทั้งฝั่งครอบครัวคนไทยที่มีคุณตา-คุณยาย และฝั่งครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่มีอากง-อาม่า คอยบอกเล่าเรื่องราวและถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่เมื่อครั้งอดีตอยู่เสมอ จึงทำให้บรรยากาศภายในร้าน ‘บ้านลลิณ’ เต็มไปด้วยความอบอุ่นและกลิ่นอายของความคลาสสิกในทุกอณู
หากสำรวจบริเวณต่าง ๆ รอบตัวบ้านลลิณ ด้านนอกนั้นจะเป็นสนามหญ้า ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้และพืชผักสวนครัวที่ทางร้านลงมือปลูกเอง
บริเวณชั้นล่าง มีโซนนั่งเล็ก ๆ และเคาน์เตอร์บาร์ให้นั่งทานอาหาร ทานขนม และจิบเครื่องดื่ม ท่ามกลางการตกแต่งร้านแนวย้อนยุคที่มีขนมหวาน กระป๋องเครื่องดื่มแบรนด์ดัง และของเล่นยอดนิยมของยุคสมัยก่อน ให้ได้ย้อนวันวานความทรงจำในวัยเด็ก ระหว่างทานมื้อแสนอร่อย
ส่วนบริเวณชั้น 2 เป็นบ้านไม้บรรยากาศสบาย ๆ ที่โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ ข้าวของเครื่องใช้แนววินเทจ รวมถึงการเปิดเพลงบรรเลงยุค 60’s-70’s คลอเคล้าให้ได้กลิ่นอายความคลาสสิกที่ถอดแบบความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยก่อนออกมาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
จะเห็นได้ว่าข้าวของต่าง ๆ ภายในร้าน หาชมได้ยากแล้วในปัจจุบัน ซึ่งบางส่วนเป็นของสะสมของคนในครอบครัวที่ถูกนำมาใช้เป็นของประดับตกแต่งภายในร้าน เรียกได้ว่าเป็นของใช้เก่าแก่ไม่แพ้ตัวบ้านเลยทีเดียว รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่น ๆ ภายในร้านก็ล้วนตกทอดมาจากคนรุ่นก่อน ๆ แทบทั้งสิ้น
Thai-Style Comfort Food
ส่วนใหญ่แล้วเมนูอาหารไทยของที่นี่ จะเน้นเสิร์ฟเป็นเมนูจานเดียวแสนเรียบง่าย สามารถทานได้ทุกวัน ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบที่ดี การฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์ เทคนิคการทำอาหารด้วยกรรมวิธี รูปแบบต่าง ๆ มาเป็นอย่างดี ทำให้ได้รสชาติอาหารที่เป็นมาตรฐาน
เริ่มต้นความอร่อยกันที่เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง ข้าวคอหมูย่าง ไข่ต้มผักสด (99 บาท) โดยความพิเศษจะอยู่ที่คอหมูย่าง โดยจะผ่านการซูวีก่อนทุกครั้ง เพื่อหมักส่วนผสมต่าง ๆ ให้ได้รสชาติตามที่ต้องการ แล้วจึงนำมาย่างเสิร์ฟให้ลูกค้าได้ทาน คอหมูย่างที่ได้จึงมีรสสัมผัสนุ่ม แตกต่างจากคอหมูย่างทั่วไป ส่วนน้ำจิ้มแจ่วที่ทางร้านเสิร์ฟคู่กัน เป็นน้ำจิ้มแจ่วชนิดข้น ที่เชฟเลือกใช้น้ำมะขามเปียกเป็นส่วนผสมหลัก นำมาเคี่ยวเพื่อให้ได้รสเปรี้ยวแทนการใช้น้ำมะนาว เมนูนี้เสิร์ฟเคียงมาพร้อมกับไข่ต้มและผักสด ได้รสชาติที่เข้ากัน
ตามมาด้วยอีกหนึ่งเมนูยอดนิยม ก๋วยเตี๋ยวผัดไข่เค็มกุ้ง (129 บาท) เมนูลูกผสมระหว่างผัดไข่เค็มกับผัดผงกะหรี่ ให้รสกลมกล่อมของไข่เค็มที่ท็อปบนมาด้วยกุ้งสดตัวโต เชื่อว่าหากใครได้ลองทานจะต้องติดใจแน่นอน
A Homey Taste from Thai Desserts
ในส่วนของเมนูขนมนั้น เลือกนำเสนอเป็นในลักษณะของการผสมผสานระหว่างความเป็นเบเกอรีและการเลือกใช้วัตถุดิบของไทยมารวมเข้าไว้ด้วยกัน เช่น นำวัตถุดิบหลักของขนมไทยบางชนิดมาเป็นส่วนผสมของเบเกอรี เป็นต้น สำหรับเมนูแนะนำที่ต้องลอง ได้แก่ เค้กแตงไทยน้ำกะทิ (79 บาท) หนึ่งในเมนูขนมไทยที่ทางร้านนำมาประยุกต์ใหม่แทนการเสิร์ฟแบบลอดช่องน้ำแข็งไส โดยใช้ส่วนผสมหลักอย่างแตงไทยมารวมไว้เป็นเนื้อเดียวกันกับเค้ก พร้อมราดด้วยน้ำกะทิอบควันเทียนหอม ๆ อร่อยอย่าบอกใคร!
ท้าชิงความอร่อยด้วยเมนู สโคนงาดำ น้ำตาลโตนด (69 บาท) โดยปกติแล้วตัวสโคนจะนิยมทานคู่กันกับเนยหรือแยม แต่สำหรับที่ร้านแล้วจะเสิร์ฟสโคนเนื้องาดำสูตรเฉพาะ ที่สอดไส้น้ำตาลโตนดแสนหอมหวาน ซึ่งเมื่อนำไปอบร้อนตัวไส้ก็จะละลายเป็นลาวาแบบเยิ้ม ๆ พร้อมเสิร์ฟให้ทานคู่กันกับซอสกะทิอบควันเทียน ได้ทั้งความนุ่มของตัวสโคน และรสหวานมันเค็มของตัวน้ำตาลโตนดที่ผสานเข้ากับน้ำกะทิอย่างลงตัว
Time To Refresh!
จากนั้นปิดท้ายกันที่เครื่องดื่มสุดสดชื่นสไตล์ไทยประยุกต์ ที่เข้ากันดีกับหน้าร้อนตลอดกาลของประเทศไทยเสียจริงเชียว ไม่ว่าจะเป็น บ๊วยแตงโมโซดา (69 บาท) เมนูเครื่องดื่มที่ให้รสเค็มของบ๊วยนิด ๆ และรสเปรี้ยวอมหวานหน่อย ๆ ผสานกันออกมาอย่างลงตัว พร้อมด้วยกลิ่นหอม ๆ ของน้ำแตงโม และความซาบซ่าของโซดา ดื่มแล้วดับร้อน สร้างความผ่อนคลายได้ดีในระหว่างวัน
หรือจะเป็น น้ำผึ้งส้มจี๊ด (69 บาท) ส้มจี๊ดคือหนึ่งในผลไม้หลักของทางร้าน โดยมีการปลูกไว้ใช้ในครัวเรือนจริง ๆ ตามอย่างวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสายจีนสมัยก่อนที่ตกทอดมายังคนรุ่นหลัง เพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้อยู่อาศัย ทางร้านจึงเลือกนำส้มจี๊ดมาเป็นส่วนประกอบหลักของเครื่องดื่ม ผสมผสานเข้ากับความหวานของน้ำผึ้ง ให้รสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอมของส้มจี๊ดอย่างเป็นเอกลักษณ์ ดื่มแล้วชื่นใจ ดับกระหายได้ดีไม่แพ้กัน
เรียกได้ว่าเป็นการทานอาหารมื้อเล็ก ๆ แสนเรียบง่าย แต่ทว่าได้ซึมซับกลิ่นอายของวันวานสุดผ่อนคลายอย่างแท้จริง ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศสบาย ๆ ดี ๆ แบบนี้บ้าง หากมาเยือนเขตพระนคร ย่านเสาชิงช้าครั้งหน้า อย่าลืมแวะมาเปิดประสบการณ์ความประทับใจ อิ่มอร่อยสไตล์ไทย ๆ ที่ ‘บ้านลลิณ’ แห่งนี้กันดูสักครั้ง
Must Read!
- ทุกวันเสาร์-อาทิตย์สุดท้ายของเดือน เปิดให้บริการในรูปแบบของโอมากาเสะไทย การรังสรรค์เมนูอาหารไทยสุดพิเศษตามใจเชฟ (คอร์สละ 2,000 บาท) โดยจะเปิดให้สำรองที่นั่งล่วงหน้าทุก ๆ ต้นเดือน เพียง 10 ที่นั่งต่อหนึ่งรอบเท่านั้น และเสิร์ฟความอร่อย ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป