Best Vinyl Bar in Bangkok
เปิดประสบการณ์แฮงเอาต์สุดพิเศษท่ามกลางวิวสูงใจกลางมหานครที่ Lennon’s สปีคอีซี่บาร์สุดเท่ ที่ตั้งอยู่บนชั้น 30 ของโรงแรม Rosewood Bangkok หนึ่งในโรงแรม Ultra Luxury ของย่านเพลินจิต โดดเด่นด้วยการดีไซน์บาร์หรู มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ภายในสตูดิโอของบ้านยุค 70s ทั้งคลาสสิกและร่วมสมัยในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังรายล้อมด้วยคอลเลกชันแผ่นเสียงหายากมากกว่า 6,000 แผ่น ซึ่งอาจเรียกได้ว่าบาร์แห่งนี้เป็นหนึ่งในคลังสะสมแผ่นเสียงขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียเลยก็ว่าได้
บรรยากาศภายในบาร์ โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์หนังและเคาน์เตอร์บาร์ไม้ที่มาพร้อมการประดับตกแต่งด้วยโคมไฟนับร้อยดวง ชวนให้สัมผัสถึงความคลาสสิกของยุค Prohibition ซึ่งเมื่อมองผ่านกระจก Paronamic จะเห็นฉากหลังเป็นแสงดาวและวิวมหานครยามค่ำคืน โดยตัวกระจกนี้ถูกดีไซน์ให้มีลักษณะเป็นห้องกระจกที่สูงจากพื้นจรดเพดานสูงเป็นมุมกว้าง ด้านหนึ่งของบาร์มีบันไดเวียนเหล็กที่นำไปสู่ห้องโถงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ เหมาะเป็นเลานจ์สำหรับสูบซิการ์โดยเฉพาะ โดยจะมีซิการ์คอลเลกชันพิเศษ Pre-Embargo Cigar ซึ่งเป็นซิการ์หายากจากประเทศคิวบา มีเฉพาะที่ Lennon's แห่งนี้เท่านั้น
No Music, No Life
ค่ำคืนสุดพิเศษของนักดื่มผู้หลงใหลในเสียงเพลงจะน่าค้นหามากขึ้น เพราะบาร์แห่งนี้จะเติมเต็มประสบการณ์สุดพิเศษด้วยท่วงทำนองเพลงสไตล์ Blues และ Jazz โดยดีเจมากประสบการณ์ แขกทุกคนสามารถเลือกแผ่นเสียงของนักร้องวงโปรด ภายในห้องที่บรรจุแผ่นเสียงหายากมากกว่า 6,000 แผ่น แล้วส่งให้ดีเจเปิดเพลงเพื่อถ่ายทอดบทเพลงที่ชื่นชอบผ่านบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ หรือจะนำแผ่นเสียงที่คุณชื่นชอบมาเปิดที่บาร์แห่งนี้ด้วยก็ได้เช่นกัน และแน่นอนว่าระหว่างที่ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงอยู่นั้น คุณจะได้ลิ้มรสคอลเลกชันวิสกี้หายากจากทั่วโลกและค็อกเทลสุดพิเศษท่ามกลางบรรยากาศแสนประทับใจ
Choose Your Favorite Songs and Enjoy Your Drinks
อีกไฮไลต์สำคัญของ Lennon’s คือ เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ ที่คัดสรรมาจากทั่วทุกมุมโลก แล้วครีเอทขึ้นใหม่เพื่อให้สอดคล้องไปกับบทเพลงของศิลปินชื่อดังของโลก รวมถึงอธิบายสไตล์เครื่องดื่มผ่านประเภทของเพลง อาทิ Blues and Jazz, Pop and Rock, Woodstock และ Old Time ขอแนะนำบทเพลงอมตะที่ถูกรังสรรค์ขึ้นโดย Frank Sinatra กับเพลง Fly Me to the Moon (420 บาท) ใน Section แนว Blues and Jazz ให้ได้โบยบินไปสู่ดวงจันทร์ด้วยเบส Whisky ที่ผสมกับ Amaro, Cacao Blanc และ Mancino Rosso Vermouth แบบเข้ม ๆ ตามบุคลิกของเจ้าของเพลงสุดเท่ เสิร์ฟลงบนก้อนน้ำแข็งกลม ที่ราวกับว่ากำลังมีดวงจันทร์น้อย ๆ ลอยอยู่ในแก้วของคุณ
ต่อด้วย Section แนว Woodstock กับค็อกเทลจากบทเพลง Purple Haze (500 บาท) ของ Jimi Hendrix อีกหนึ่งมือกีตาร์ที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดในโลก การเล่นกีตาร์ของ Jimi ก็เหมือนกับรสชาติและความมหัศจรรย์ของดอกอัญชัน ที่ทางบาร์เทนเดอร์เลือกใช้ชาอัญชันมาผสมกับผิวมะนาว Gin และ Prosecco เพื่อให้ได้ค็อกเทลที่มีสีสันสวยงาม โดยจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ เข้ากับชื่อเพลง
ปลุกคุณขึ้นมาด้วย Wake Me Up Before You Go Go (420 บาท) ของ Wham! ใน Section แนว Pop and Rock ที่ได้แรงบันดาลใจมากจากสองดูโอ้ที่โด่งดังในเพลงจังหวะสนุก ๆ ชวนให้ตื่นตัว ก่อนจะครีเอทออกมาเป็นส่วนผสมที่ได้จาก Espresso Martini โดยทางบาร์เทนเดอร์ได้เลือกใช้ Vodka และเบียร์ดำ Stout Arabica รวมถึงช็อต Espresso และกล้วยเพื่อสร้างกลิ่นหอม ๆ และความเข้มของรสชาติที่จะปลุกคุณขึ้นมาให้สนุกสนานไปกับเสียงเพลงตลอดคืน
Tabla Solo In Jhaptal (430 บาท) อีกหนึ่งบทเพลงใน Section แนว Woodstock แรงบันดาลใจจากท่วงทำนองเสียงกลองของ Ravi Shanker ศิลปินชาวอินเดียที่นำกลอง Tabla ไปแสดงสดในเทศกาลดนตรีดังระดับโลก ทำให้ค็อกเทลแก้วนี้มีกลิ่นหอมของไซรัปเครื่องเทศที่ผสมกับ Whisky, Bitter, น้ำผึ้ง และมะนาว ได้รสชาติสไตล์อินเดีย ที่ดื่มแล้วจะทำให้คุณใจเต้นตึกตักเป็นจังหวะกลอง Tabla เลยทีเดียว
สุดท้ายกับ Watermelon In Easter Hay (380 บาท) ของ Frank Zappa ใน Section แนว Blues and Jazz แรงบันดาลใจจากหนุ่มมาดเซอร์ที่มีความสามารถด้านดนตรีและมีผลงานอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยค็อกเทลแก้วนี้ได้ครีเอทความสดชื่นด้วยผลไม้นานาชนิด ทั้ง แตงโม, มะพร้าว, Orange Liqueur ซึ่งเข้ากันกับ Vodka อย่างดี เป็นค็อกเทลสไตล์ Refreshing ที่เหมาะสั่งมาดื่มเคล้ากับซาวน์ดนตรีชิลล์ ๆ ท่ามกลางวิวเมืองสวย ๆ ยามค่ำคืน