Love Beef, Love Whole Beef Like A Mad Beef
Mad Beef ร้านอาหารน้องใหม่สไตล์ไคเซกิในย่านเจริญกรุง กับการบอกเล่าเรื่องราวของ 'คนคลั่งเนื้อ' อย่าง เชฟเชอ-พันธ์ทิพย์ อรรถการวงศ์ เชฟและเจ้าของร้าน ที่อยากจะสร้างสรรค์พื้นที่ดี ๆ เพื่อคนรักเนื้อได้เข้ามาสัมผัสความอร่อยของเนื้อทุก ๆ ส่วนไปพร้อม ๆ กัน เหมือนกับความรักหรือความชอบที่เมื่อใดได้เริ่มรู้สึกกับสิ่งใดไปแล้ว ก็ควรที่จะรักในสิ่ง ๆ นั้นทั้งหมด ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้ที่นี่กลายเป็นร้านเนื้อสไตล์ไคเซกิที่เลือกใช้วัตถุดิบเฉพาะส่วน Secondary Cut หรือเนื้อส่วนรองที่มักถูกมองข้าม มารังสรรค์เป็นหลากหลายเมนูแสนอร่อย ที่ปรุงด้วยใจ เสิร์ฟด้วยความรัก นำเสนอและคืนคุณค่าให้กับเนื้อทุกส่วน เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่าแม้เป็นเนื้อส่วนที่ไม่ได้รับความนิยม ก็อร่อยไม่แพ้กัน!
Hidden Place for Beef Lover
ตัวร้านตั้งอยู่ภายใน ATT19 คาเฟ่และแกลเลอรีสุดชิค ที่มาพร้อมกับบรรยากาศแสนสบายของบ้านหลังใหญ่ และด้วยข้อจำกัดเรื่องที่นั่งของการทานอาหารในแบบไคเซกิ ยิ่งทำให้ Mad Beef แห่งนี้ มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ทุกคนที่เข้ามาทานจะได้ลิ้มรสชาติอาหารที่ดีที่สุด ภายใต้บรรยากาศสุดผ่อนคลาย ให้ได้เต็มอิ่มไปกับการดินเนอร์ตลอดทั้งคอร์สสุดพิเศษ
All Mad Beef Courses
ถึงแม้ว่าทางร้านจะเลือกนำเสนอความอร่อยในรูปแบบของไคเซกิ แต่เชฟเชอได้เกริ่นนำไว้ก่อนว่าร้าน Mad Beef นั้น เป็นไคเซกิแบบไร้สัญชาติ ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นสไตล์ญี่ปุ่นหรือสไตล์อะไรเป็นพิเศษ แต่เลือกใช้เทคนิคการปรุงของหลากหลายประเทศมาจับคู่ให้เข้ากับเนื้อชนิดต่าง ๆ และเมนูนั้น ๆ เป็นพิเศษ
สำหรับ Mad Beef Course (4,200++ บาท) ครั้งนี้ ชวนคุณไปเปิดโลกของ ‘คนคลั่งเนื้อ’ กันด้วยเมนู MAD Amuse Bouche Beef Tartare 2 สัญชาติ ที่คำแรกนำเสนอในสไตล์ญี่ปุ่นด้วยการนำเนื้อ Japanese Wagyu สับเป็นชิ้นละเอียด ก่อนจะปั้นออกมาอย่างพอดีคำ ท็อปด้านบนด้วยอูนิที่ให้ทั้งความหวานมันจากวัตถุดิบชั้นดี ส่วนคำถัดมาเชฟเลือกใช้เนื้อ Angus เป็นวัตถุดิบหลัก และเลือกปรุงรสในสไตล์ French Tartare ที่ท็อปด้านบนด้วยซอสเจลเปรี้ยวที่ตัดรสชาติออกมาได้อย่างลงตัว
จากนั้นไปเติมความสดชื่นกันด้วย The Eye of Chuck เนื้อส่วนใบพาย ช่วงสันคอถึงท้อง ที่ให้ลวดลายสวยงามอย่างชัดเจน นำมาสไลซ์แบบบาง ๆ แล้วท็อปด้วยซอสสูตรพิเศษ ที่มีส่วนผสมของมะม่วง ขิง พริก มะนาว และสมุนไพรต่าง ๆ ที่ให้กลิ่นหอมน่าทาน ก่อนจะตัดรสชาติด้วยแอปเปิ้ลเขียวที่ช่วยเสริมรสชาติให้กับเนื้อได้เป็นอย่างดี
จานถัดมาเป็น Mad Sando เบอร์เกอร์ขนาดพอดีคำที่เลือกใช้เนื้อทุกส่วนในคอร์สมาผสมผสานกัน ก่อนจะนำมาประกบกันด้วยขนมปังหั่นชิ้น เสิร์ฟพร้อมกับซอสสูตรเฉพาะของเชฟที่ให้รสชาติคล้ายกับน้ำสุกี้ก้นหม้อ จากนั้นนำไปเบิร์นไฟจนได้กลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้นมากขึ้น
ถัดมาซดซุปร้อน ๆ ไปพร้อมกันกับเมนู Between The Bone ที่เชฟเลือกใช้เนื้อส่วน Finger Rib ไป Sous Vide พร้อมกับเนยฝรั่งเศสและสมุนไพรชนิดต่าง ๆ นานกว่าครึ่งวัน จากนั้นนำไปย่างให้มีกลิ่นหอมและได้ระดับความสุกในแบบที่พอดี เสิร์ฟมาในซุปปลาแห้งที่ผสมกับซุปกระดูกวัว ได้ความเข้มข้นจากเลือดวากิว ทานพร้อมกับหัวไชเท้าต้มและกระเทียมเจียว ให้รสหวานละมุนลิ้น
ก้าวเข้าสู่ Brazillian’s Queen จานพิเศษที่เชฟนำ Picanha หรือเนื้อส่วน Rump Cap ของวัวสายพันธุ์ Angus แท้ ๆ มาครีเอตเป็นเมนูพิเศษ โดยเนื้อส่วนนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็น 'Queen of Beef' ของชาวบราซิล ที่นำมากริลล์เป็นเมนูสเต๊ก เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสสูตรพิเศษของเชฟที่ให้รสชาติแบบลูกผสมของ Chimichurri และ Pesto ไว้ด้วยกันได้กลมกล่อมลงตัว ทานคู่กับฟักทองและพริกหนุ่มย่าง จะช่วยตัดรสเลี่ยนของเนื้อได้เป็นอย่างดี
ก่อนจะไปอิ่มอร่อยกันต่อกับ Caveman’s Heart อีกหนึ่งเมนูสเต๊กที่เชฟนำเนื้อส่วน Hanger Man มาปรุงรส โดดเด่นด้วยวิธีการย่างเนื้อในสไตล์ของ Caveman หรือการย่างบนถ่าน ซึ่งทำให้ได้กลิ่นหอมน่าทาน เสิร์ฟมาคู่กันกับซอสมิโสะแดงผสมเนย พร้อมเคียงด้วยต้นหอมและเห็ดฮิโนกิ
เดินทางมาถึงอีกเมนูเด็ดอย่าง Mad To The Bone เนื้อวัวสายพันธุ์ Angus ที่เชฟเลือกใช้ส่วน Tenderloin ติดกระดูก ให้ความนุ่มละมุน ได้ความฉ่ำหวานของเนื้อแดงด้านใน และรสชาติเข้ากันได้ดีกับมันบดและเรดไวน์ซอส
ถัดไปอิ่มท้องมากขึ้นกับเมนู Mad Don ข้าวหน้าเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น ที่เชฟเลือกใช้เนื้อสันคอหรือ Denver นำไป Sous Vide ให้ได้เนื้อสัมผัสนุ่ม ก่อนจะนำไปย่างไฟและสไลซ์เป็นชิ้นบางพอดีคำ เสิร์ฟมาบนข้าวผัดกระเทียมสูตรพิเศษของทางร้าน และท็อปด้านบนด้วยไข่ออนเซ็น
จากนั้นเคลียร์รสชาติในปากกันด้วย Pot of Gold ซุปใสร้อน ๆ ซึ่งได้จากการใช้เนื้อส่วนต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ไปเคี่ยวจนได้ซุปใสหอมละมุน เสิร์ฟในกา เป็นเมนูที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งใด ๆ ได้รสชาติและความหอมหวานจากเนื้อล้วน ๆ เป็นเมนูซุปซดคล่องคอ ส่งท้ายมื้อพิเศษนี้ได้อย่างน่าประทับใจ
ก่อนจะเสริมความพิเศษด้วยเมนูของหวานอย่าง Mad Ice Cream Sandwich ไอศกรีมจาก Beef Fat ที่เชฟนำไปรมควันกับ Apple Wood สอดไส้ด้วยราสพ์เบอร์รีเจลลี ประกอบด้วยขนมข้าวโมนาโกะสไตล์ญี่ปุ่น ให้รสละมุนถูกใจสายขนมหวานแน่นอน