Modern European Cuisine
สำหรับใครที่ชื่นชอบการทานอาหารสไตล์ยุโรป ต้องลองแวะมาที่ Mia ร้านอาหารสไตล์ Modern European ที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านสีฟ้าหลังใหญ่อันแสนสงบใจกลางซอยสุขุมวิท 26 นำเสนอความแปลกใหม่ผ่านหลากหลายเมนูอาหารจานพิเศษในคอนเซ็ปต์ Sharing ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในแบบเรียบง่าย พร้อมกลิ่นอายของความเป็น Comfort Food ยุโรปยุคใหม่ รังสรรค์เมนูอาหารโดย เชฟท็อป-พงศ์ชาญ รัสเซล, เชฟมิเชล โก และ เชฟจูเลียน อิมเบิท ผู้มีประสบการณ์ในการทำอาหารมามากมายจากกรุงลอนดอน
The Best Nightlife Restaurant
บรรยากาศของร้านถูกเติมเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความ Dynamic ของกรุงลอนดอนบวกกับความสนุกสนานในยามคํ่าคืนของกรุงเทพมหานคร นำเสนอออกมาเป็น Nightlife Restaurant ให้ทุกคนได้แวะเวียนมาเพลิดเพลินกับอาหารสไตล์ยุโรปท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ แบบเป็นกันเอง
ร้านอาหาร Mia มีหลากหลายโซนให้เลือกนั่งตามสบาย โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ชั้น เริ่มกันที่ส่วนของ Dinner ซึ่งใช้พื้นที่บริเวณชั้นสอง แบ่งเป็นห้องต่าง ๆ อาทิ The Color Room ห้องทานอาหารกึ่งส่วนตัว ที่ทางร้านเลือกใช้เก้าอี้นั่งบุด้วยกำมะหยี่สีเหลืองสะดุดตา พร้อมวอลเปเปอร์ลายดอกไม้ที่ทำให้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศย้อนยุคอันมีเอกลักษณ์
สำหรับใครที่ต้องการความโรแมนติก แนะนำ Floral Room พร้อมให้เพลิดเพลินตาไปกับการตกแต่งห้องด้วยดอกไม้สีชมพูสดใส เหมาะแก่การพาคนพิเศษไปทานอาหารอร่อย ๆ พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศดี ๆ ที่จะช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับทุกคน
ถัดมาคือ The Dark Room ห้องทานอาหารบรรยากาศลึกลับที่ตกแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์โทนสีเทาและสีนํ้าเงิน เพิ่มความอบอุ่นด้วยแสงไฟสลัว พร้อมที่นั่งแบบโซฟาและล้อมรอบห้องด้วยผนังกระจก ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงประสบการณ์การทานอาหารที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละห้อง
ในส่วนของชั้นล่างถูกจัดวางให้เป็นบาร์เครื่องดื่มค็อกเทล พร้อม Dessert Counter ให้จิบเครื่องดื่มและอิ่มอร่อยกับขนมหวานหลังจากทานอาหารมื้อคํ่าท่ามกลางบรรยากาศสวย ๆ ยามคํ่าคืน
European Meets Asian
อาหารของทางร้านจะใช้เทคนิคแบบยูโรเปียนผสมกลิ่นอายของเอเชีย ครีเอทออกมาในรสชาติที่แปลกใหม่ เข้าถึงวัฒนธรรมการกินแบบเอเชีย โดยเน้นการแบ่งปันในคอนเซ็ปต์ Sharing เริ่มกันที่เมนูทานเล่นอย่าง Oyster (150 บาท) หอยนางรมสดที่เสิร์ฟมาพร้อมเจลลี Ponzu Sauce เพิ่มความอร่อยด้วยแตงกวาดองและแอปเปิ้ล ให้สัมผัสถึงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น มีรสชาติหวานจากหอยนางรม ผสมรสเปรี้ยวและเค็มนิด ๆ จากซอสที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว
ต่อกันที่ Foie Gras Donut (360 บาท) ฟัวกราส์โดนัทเนื้อเนียน ที่ครีเอทส่วนผสมจากแป้งโฮมเมดอิตาลี สอดไส้ด้วยฟัวกราส์สูตรเฉพาะของเชฟ ให้รสชาติกลมกล่อม มีความนุ่มละมุน พร้อมตัดเลี่ยนด้วยแยมลูกพรุน
หรือจะลอง Focaccia (220 บาท) ขนมปังฟอคคาเซียสไตล์อิตาเลียน ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยขนมปังจะเป็นก้อนกลม ๆ แบบหนานุ่ม เสิร์ฟพร้อม Homemade Ricotta Cheese ทานคู่กับ Rocket Pesto ให้รสชาติกลมกล่อมและความหอมของเนย ตามด้วยเนื้อสัมผัสแบบกรอบนอกนุ่มใน ผสานเข้ากับรสเค็มของชีสได้เป็นอย่างดี
มาถึงเมนู Cold Dish จานพิเศษอย่าง Beetroot Pappardelle (280 บาท) สลัดบีทรูทที่ทางเชฟครีเอทออกมา 2 รสชาติในจานเดียว โดยด้านล่างจะเป็นส่วนผสมของบีทรูทดอง แล้วท็อปด้วยบีทรูทสดที่สไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ เสิร์ฟพร้อมชีสนมแพะและวอลนัท ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานกำลังดี เป็นอีกหนึ่งเมนูแนะนำที่เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพ
ตามมาด้วยเมนูยอดฮิตอย่าง Hamachi Ceviche (320 บาท) ปลาฮามาจิสดคลุกเคล้าด้วยซอสเสาวรส Passion Fruit Dressing ทานคู่กับผักสลัดและหัวไชเท้าญี่ปุ่นแผ่นบาง สัมผัสได้ถึงความหอมนุ่มและรสกลมกล่อมของเนื้อปลา เป็นการครีเอทเมนูออกมาในสไตล์ Modern European ที่ผสานความเป็น Asian ได้อย่างลงตัว
พลาดไม่ได้กับเมนู Main Course อย่าง Hot Smoked Salmon (620 บาท) แซลมอนรมควันจนสุกได้ที่ คลุกเคล้าด้วยซอสมันฝรั่ง Potato Veloute ผสานความอร่อยด้วยเต้าหู้และไข่ปลาแซลมอน Ikura Salsa ให้รสชาติกลมกล่อมหอมมันของเนื้อแซลมอน ที่ผสมผสานเข้ากันกับน้ำซอสได้อย่างลงตัว
ต่อกันที่ซิกเนเจอร์เมนูของหวานสไตล์โฮมเมดอย่าง Roasted Pineapple (290 บาท) ที่ทางเชฟได้นำสับปะรดไปย่าง แล้วคลุกเคล้ากับคาราเมลจนมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เสิร์ฟคู่กับไอศกรีม Pina Colada และ Coconut Snow ได้ความหวานของเนื้อสับปะรดแบบฉ่ำ ๆ เหมาะสำหรับทานหลังอาหารมื้อค่ำเป็นที่สุด
ปิดท้ายด้วยเมนู Dark Chocolate Ganache (320 บาท) เค้กช็อกโกแลตกานาซ ที่ให้รสสัมผัสนุ่มละมุนแบบเนื้อครีม เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมพริก ให้รสชาติหวานปนขมของ Dark Chocolate พร้อมผสานความเผ็ดนิด ๆ ของไอศกรีมพริก ถือเป็นเมนูแปลกใหม่ที่ควรลิ้มลอง