The New Castle in Thonglor
ชวนคุณออกเดินทางสู่โลกแฟนตาซี สัมผัสบรรยากาศสุดลึกลับ ไปพร้อมกับลิ้มลองความอร่อยกับเมนูสุดพิเศษ ต้อนรับการกลับมาของ Mocking Tales คาเฟ่และค็อกเทลบาร์ธีมปราสาทบนหอคอยหลังใหม่ที่รอให้เหล่าเจ้าหญิงและเจ้าชายได้แวะเวียนมาเช็กอินกันที่ดาดฟ้า ชั้น 4 โครงการ J Avenue ทองหล่อ
Fantasy Stories
เมื่อย้ายโลเคชันกันทั้งที Mocking Tales ก็จัดเต็มด้วยการดีไซน์ปราสาทหลังใหม่ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และสนุกสนานขึ้นกว่าที่เคย ภายใต้คอนเซ็ปต์ 'Day Light & Night Times' โดยช่วงกลางวันจะเป็นคาเฟ่สุดลึกลับ ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนูทานง่าย ขนมสุดอลังการ และเครื่องดื่มแก้วพิเศษ ก่อนจะเปลี่ยนช่วงกลางคืนให้เป็นบาร์สุดชิลล์ในแบบ Bar & Bistro ที่สามารถชมวิวเมืองได้จากดาดฟ้า เป็นการเพิ่มอรรถรสในการนั่งดริงก์กับผองเพื่อนได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความเป็นร้านอาหารเข้ามา ผ่านการสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ ๆ ที่เติมเต็มความอิ่มอร่อยมากขึ้นให้สนุกกันยาว ๆ แบบแรงดีไม่มีตกในทุกค่ำคืน
เมื่อก้าวขึ้นมายังชั้น 4 จะพบกับประตูเหล็กสีดำบานใหญ่ สลักชื่อ Mocking Tales เอาไว้ ก่อนจะเปิดเข้าไปพบกับบรรยากาศที่น่าค้นหาในรูปแบบของปราสาทสไตล์โกธิค ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจสุดเก๋ และข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกออกแบบมาใหม่เพื่อปราสาทแห่งนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟระย้า โต๊ะ เก้าอี้ลายหินอ่อน โดยแบ่งที่นั่งอย่างเป็นสัดส่วน ทั้งแบบโซฟาและชั้นลอย 2 ฝั่ง หรือหากใครอยากสัมผัสกลิ่นอายของการนั่งทานอาหารร่วมกันราวกับอยู่ในห้องอาหารของฮอกวอตส์ ทางร้านก็มีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ไว้รองรับ พร้อมโล่องครักษ์ที่ประดับอยู่บนกำแพงคอยจับตามอง
The Magic Recipes
ทางร้านให้บริการทั้งเมนูขนมหวาน อาหารทานง่าย และเครื่องดื่ม ทั้งในสไตล์คาเฟ่และบาร์ สำหรับใครที่กำลังมองหาเครื่องดื่มเบา ๆ ไว้จิบเพลิน ๆ ทางร้านแนะนำให้ลอง What Did the Alchemist Do to My Coffee! (185 บาท) กาแฟมอคค่าแบบใส ที่ทางร้านใช้เทคนิคพิเศษในการชง แล้วนำมาผสมกับช็อกโกแลตและเฮเซลนัท เพื่อให้ได้ความหอมของเปลือกส้มและช็อกโกแลตเบา ๆ เป็นเครื่องดื่มที่มองเผิน ๆ อาจดูคล้ายกาแฟดำ แต่ได้รสชาติที่แปลกใหม่
แต่ถ้าหากใครชื่นชอบความสดใสซาบซ่า ลองสั่งเป็น Northern Light (155 บาท) ม็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการย้ายปราสาทขึ้นมาอยู่บนชั้นดาดฟ้า ให้ความรู้สึกราวกับได้อยู่ใกล้แสงเหนือขึ้นมาอีกนิด จึงนำความรู้สึกนี้มาสร้างสรรค์เป็นเมนูเครื่องดื่มที่มีสีสันสดใส ที่ดื่มแล้วซาบซ่า โดยความพิเศษของเครื่องดื่มแก้วนี้อยู่ที่สีสันของน้ำ ยามกระทบกับแสงจะเป็นสีฟ้าอมเขียวราวกับแสงเหนือจริง ๆ ภายในแก้วมีส่วนผสมของน้ำฝรั่งที่ท็อปด้วยไซรัป Blue Curacao ผสานรสชาติกับ Elderflower จนกลายมาเป็นเครื่องดื่มที่มีสีสันโดดเด่น ให้รสเปรี้ยวนิด ๆ พร้อมเพิ่มสัมผัสในการเคี้ยวด้วยเจลลีอัญชันที่ใส่มาบริเวณด้านล่างของแก้ว
และเมื่อถือโอกาสฤกษ์งามยามดีในการย้ายโลเคชันครั้งนี้ ทางร้านจึงเลือกนำเสนอความเป็น Bar & Bistro มากขึ้น ด้วยการรังสรรค์เมนูอาหารหลากหลายแบบมาให้ได้ลิ้มลอง เริ่มต้นจากเมนู Tales Tavern’s Steak (690 บาท) สเต๊กเนื้อคุณภาพดี ที่สามารถเลือกความสุกได้ตามชอบ รวมถึงเลือกซอสได้ 1 ชนิดจากทั้งหมด 3 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น Infused Black Peppercorn Sauce, Magic Mushroom, Red Wine Reduction Sauce เสิร์ฟมาพร้อมกับผักและมันบด โดยมีกิมมิกน่ารัก ๆ อยู่ที่การดีไซน์ถ้วยใส่ซอสเป็นรูปมงกุฎสุดน่ารัก
แต่หากใครที่ไม่ถนัดทานเนื้อ ทางร้านยังมี Pesto Pasta with Grilled Chicken (280 บาท) เมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากวิชาปรุงยา ด้วยสีสันของซอสเพสโต้ที่มีสีเขียว ดูเหมือนกับสมุนไพรปรุงยาสักชนิด ซึ่งทางร้านได้นำเอาเส้นพาสต้าไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับซอสเพสโต้ แล้วเสิร์ฟมาคู่กันกับอกไก่กริลล์ โรยหน้าตามด้วยชีส ทานได้เพลิน ๆ และอิ่มท้องแน่นอน
ต่อกันที่ขนมหวานซิกเนเจอร์ที่บอกเล่าเรื่องราวใหม่ของปราสาท Mocking Tales แห่งนี้ กับเมนู Castle of Dawn & Twilight (480 บาท) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปราสาทซึ่งตั้งอยู่บนจุดที่สูงเหมือนกับหอคอยบนฟ้า สร้างสรรค์ออกมาเป็นขนมเนื้อนุ่มคล้ายกับเอแคลร์สอดไส้ช็อกโกแลต วางซ้อนกันเป็นรูปทรงสูงคล้ายปราสาท โดยด้านในแอบซ่อนความหอมหวานไว้ด้วยไอศกรีม โรยรอบ ๆ ด้วยครัมเบิ้ลชาเขียว ดูลึกลับและน่าค้นหา พรีเซนต์การเสิร์ฟแบบอลังการด้วยการเติมควันให้พวยพุ่งไปรอบ ๆ ตัวขนม เชิญชวนคนรักขนมหวานให้เข้าไปลิ้มรสความอร่อยได้ดีเลยทีเดียว
ปิดท้ายกันด้วยเมนู Brûlée Valley (120 บาท) ที่นำเสนอความสวยงามของธรรมชาติรอบ ๆ ปราสาท ด้วยการนำเครมบรูเลเนื้อเนียน ท็อปด้วยครีมสดมัทฉะ โรยหน้าด้วยมัทฉะครัมเบิ้ล แล้วเติมความสดใสให้เหมือนกับทุ่งหญ้าด้วยของดอกไม้และใบไม้ที่นำมาตกแต่งบนตัวขนม
