A Special Place for Beef Lover
เชื่อเหลือเกินว่าบรรดาคนรักเนื้อต้องอยากแวะมาพิสูจน์ความอร่อยกันที่ MUST MEAT แหล่งพบปะดี ๆ สำหรับนักกินสายเนื้อ โดยร้านนี้ตั้งอยู่ในย่านสีลม นอกจากเป็นร้านอาหารที่เน้นเสิร์ฟเมนูเนื้อแล้วที่นี่ยังเป็น Butcher ที่เปรียบตัวเองเป็นเหมือนสนามเด็กเล่น ด้วยการมอบความสนุกและความสร้างสรรค์ผ่านการครีเอทเมนูสุดพิเศษจากทุกส่วนของเนื้อ มาเสิร์ฟเป็นหลากหลายเมนูที่ให้รสชาติแตกต่างกันไป
Eat, Play, Learn
ตัวร้านมาพร้อมคอนเซ็ปต์สนุก ๆ ไม่เป็นทางการจนเกินไป โดยเลือกใช้สีสันสดใส ประดับทั่วทุกมุมของร้าน ให้สอดรับกับคอนเซ็ปต์ 'สนามเด็กเล่น' ที่ทุกคนจะได้มาอิ่มอร่อยไปกับมื้ออาหารดี ๆ และได้ความรู้กลับไปด้วยเช่นกัน ซึ่งทางร้านได้มีการสอดแทรกกิมมิกต่าง ๆ ที่สื่อถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ทำอาหารของทางร้านอย่างโคมไฟหลากสีรูปร่างแปลกตา ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเนื้อวัว หากนำมาต่อกันทั้งร้านก็จะประกอบเป็นวัวหนึ่งตัวพอดี
Come To Must Meat, You Must Eat Beef
อย่างที่เกริ่นไปแล้วข้างต้นว่า นอกจาก MUST MEAT จะเป็นร้านอาหารแล้ว ยังเป็น Butcher ที่พร้อมบริการส่งเนื้อให้กับร้านต่าง ๆ อีกด้วย ภายในร้านจึงมีตู้เก็บเนื้อขนาดใหญ่ตั้งโชว์อยู่ ส่วนหนึ่งคือมีจุดเด่นที่การ Dry-Aged เนื้อเองเป็นเวลา 45-60 วันก่อนนำส่งยังร้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อ ทานอร่อยทุกส่วน
แม้กระทั่งส่วนเนื้อที่คนไม่นิยมทาน ทางร้านก็นำมาดัดแปลงเป็นเมนูพิเศษให้ทานง่ายมากขึ้น โดยจะเลือกใช้เนื้อวัวของไทยหรือเนื้อที่มีส่วนผสมของวัวไทยเป็นหลัก ทั้ง Thai-Wagyu, Thai-Angus, Thai-French หรือ Thai-Charolles เพราะเนื้อวัวที่มีคุณภาพนั้น ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูวัวว่าผู้เลี้ยงให้ทานอะไรเป็นหลัก และวัวมีความสุขมากแค่ไหน ทางร้านจึงเลือกติดต่อกับฟาร์มโดยตรง เพื่อควบคุมคุณภาพวัตถุดิบในทุก ๆ จานก่อนเสิร์ฟ
เริ่มต้นกันที่เมนูเบา ๆ อย่าง Beef Poutine (180 บาท) เมนูเฟรนช์ฟรายส์ทอดกรอบราดซอสเนื้อ ที่ได้รับสูตรต้นตำรับมาจากประเทศแคนาดา โดยเชฟได้นำเอามันของเนื้อวัวมาผสมเข้ากับเนื้อที่หมัก Beef Gravy ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้ความพิถีพิถันอย่างมาก แล้วราดลงบนเฟรนช์ฟรายส์ก่อนท็อปหน้าเพื่อเพิ่มความอร่อยอีกชั้นด้วยมอสซาเรลลาชีส
หรือจะลองเป็น Beef Skewer (99 บาท / ไม้) เนื้อเสียบไม้ที่กริลล์กับถ่านไม้สน ให้กลิ่นหอมจากถ่านและมันของเนื้อ ราดด้วย Asian Sauce สูตรพิเศษของทางร้านและโรยหน้าด้วยพาสลีย์
มาถึงไฮไลต์ที่แน่นอนว่าคนรักเนื้อต้องพลาดไม่ได้กับเมนู Ribeye Thai-Wagyu (290 บาท / 100 กรัม) สำหรับจานนี้ทางร้านเลือกใช้ส่วน Ribeye ของ Thai-Wagyu มาเสิร์ฟคู่กับซอสสูตรพิเศษ 3 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น Mango Chili ที่ให้ความหวานนิด ๆ เผ็ดเล็กน้อย, Asian Sauce ซอสรสชาติแบบไทย ๆ ที่ให้ความเข้มข้นจากน้ำสต๊อกเนื้อ และ Chimichurri ซอสยอดฮิตที่มักเสิร์ฟคู่กับเมนูเนื้อย่าง มีลักษณะคล้ายเพสโต้ แต่ให้ความหอมและรสชาติของสมุนไพรที่เด่นชัดกว่า
อีกทั้งยังสามารถเลือก Silde Dish มาทานคู่กันได้อีกหนึ่งอย่าง ทางร้านแนะนำเป็น Hot Grilled Corn (99 บาท) ข้าวโพดย่างเสิร์ฟร้อน, Roasted Pineapple (99 บาท) สับปะรดช่วยตัดเลี่ยน และ Baked Sweet Potato with Nori Powder (99 บาท) มันหวานญี่ปุ่นโรยผงสาหร่าย
นอกจากนี้ ทางร้านยังมีเมนูฟิวชันน่าลองอย่าง Fettuccine Cha-Om (280 บาท) เฟตตูชินีโฮมเมดผัดกับชะอมและพริกสด เสิร์ฟเคียงมาด้วย Beef Prosciutto เนื้อ Ribeye แล่บาง ๆ หอมกลิ่นเตาถ่าน เมื่อตักทานคู่กันกับเส้นเฟตตูชินีก็ยิ่งให้รสชาติที่กลมกล่อมถูกปากคนไทยมากยิ่งขึ้น
เพราะทางร้านมีความตั้งใจอันดีที่จะให้คุณค่ากับทุก ๆ ส่วนของเนื้อวัว แม้กระทั่งส่วนที่ไม่ค่อยนิยม ก็นำมาดัดแปลงให้เป็นเมนูที่ทานง่ายขึ้น อย่าง Crispy Beef Brain with Stew (280 บาท) ที่ทางร้านเลือกใช้ 'สมองวัว’ นำไปทอดเพื่อให้ทานง่ายขึ้น ก่อนจะเสิร์ฟมาพร้อมกันกับมะเขือเทศและซอสมิโซะ ทางร้านแนะนำให้ทานคู่กับซอสจะช่วยดับกลิ่นคาวและให้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น
ต่อกันที่อีกหนึ่งเมนูถูกปากคนไทยกับเมนู Striploin Steak with Holy Basil Sauce (220 บาท) เนื้อ Striploin ย่างท็อปบนข้าวสวยร้อน ๆ ราดซอสกะเพรา ทานสนุกมากขึ้นด้วยกะเพรากรอบและไข่เค็มสับ สำหรับเมนูนี้ นอกจากจะนั่งทานที่ร้านเพลิน ๆ แล้ว ยังสามารถสั่งแบบเดลิเวอรี่มาทานที่บ้านได้อีกด้วย
ปิดท้ายมื้อนี้กันด้วยของหวานน่าลองอย่าง Miso and Corn (250 บาท) ไอศกรีมมิโสะสูตรเฉพาะของทางร้าน เสิร์ฟมาพร้อมกันกับซาวครีม ที่ให้รสเปรี้ยวเล็กน้อย ท็อปด้านบนด้วยข้าวโพดทอด และราดด้วยราดน้ำผึ้ง ซึ่งขอแนะนำให้ตักทุกอย่างให้ครบแล้วทานพร้อมกันในหนึ่งคำ อร่อยอย่าบอกใคร