Quality Beef from Miyazaki
Nikkuu Grill ร้านที่คนรักเนื้อไม่ควรพลาด กลับมาอีกครั้งกับหลากหลายเมนูใหม่ เน้นเสิร์ฟเนื้อคุณภาพดี โดยเฉพาะเมนูสเต๊กที่ใช้เนื้อวากิวชั้นดีจากเมืองมิยาซากิ ใช้วิธีการย่างด้วยถ่านกับไม้ฟืนที่ให้กลิ่นหอมกว่าการทำสเต๊กทั่วไป นอกจากเนื้อแล้ว ที่นี่ยังให้ความสำคัญและพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบทุกชนิด รวมถึงมีเมนูพาสต้าและสลัดที่ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงและวัตถุดิบจากธรรมชาติ ไม่ใช้ผงชูรส ซึ่งทั้งตัวซอสและน้ำสลัดล้วนเป็นสูตรโฮมเมด ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี
ในครั้งนี้เชฟได้รังสรรค์เมนูใหม่ภายใต้คอนเซ็ปต์การจับคู่เมนูอาหารกับสาเก โดยเครื่องดื่มที่ถูกนำมาเสิร์ฟนั้น ได้แก่ สาเกญี่ปุ่น “ZAKU” Megumi no Tomo JUNMAI (alcohol 15%) Dry (240 บาท / แก้ว) สาเกชื่อดังจากจังหวัดอิวาเตะ ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวดสาเก ปี 2018 หรือจะชิม “SUIGEI” TOKUBETSU JUNMAI (alcohol 15%) Dry (1,400 บาท / ขวด 720 ml.) สาเกจากเกาะ ชิโกกุ หรือจะเป็น “ASABIRAKI” JUNMAI GINJO (alcohol 15%) Medium Dry (1,500 บาท / ขวด 720 ml.) จากจังหวัดมิเอะ
ส่วนคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ทางร้านก็มี Nikkuu Natural Water (200 บาท) ถึง 3 แบบให้เลือกดื่ม ซึ่งภายในแก้วของ Sparkling Water จะมีผักผลไม้สดแช่ไว้เป็นส่วนผสมด้วย เริ่มจากแก้วแรกอย่าง Vitamin Water เครื่องดื่มวิตามินที่มีส่วนผสมของส้ม พริกหยวก ตะไคร้ และใบมะกรูด ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง ช่วยในเรื่องของผิวพรรณ ต่อด้วย Relax Water ที่ช่วยเรื่องความผ่อนคลาย ประกอบด้วย หัวไชเท้า องุ่น น้ำผึ้ง เลมอน และใบมินต์ คลายความเหนื่อยล้า คืนความสดชื่นให้ร่างกาย และแก้วสุดท้ายคือ Detox Water ที่ประกอบไปด้วยแอปเปิ้ล สาลี่ พาร์สลี่ย์ ขิง และผักชีลาว ช่วยให้ร่างกายขับของเสียที่ตกค้างและช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
Seasonal Menu
ด้านเมนูอาหาร ทางร้านได้เลือกนำเสนอชุด Seasonal Menu อย่าง Premium WAGYU Miyazaki Rosu with Oyster topped salmon roe DONABE Rizotto Style Earthen Pot Japan (1,280 บาท) หรือริซอตโต้หุงหม้อดินสไตล์ญี่ปุ่นที่ใช้ข้าวพันธุ์โคชิฮิคาริและฮานาเอะจิเซ็นซึ่งผลิตในจังหวัดฟูกูอิ สำหรับเมนูนี้เป็นการรวมวัตถุดิบที่อร่อยที่สุดในฤดูกาล อย่างเนื้อวากิวชั้นดี หอยนางรม และไข่ปลาแซลมอนมาไว้ในหม้อเดียว โดยเนื้อที่ใช้เป็นเนื้อวากิวจากจังหวัดมิยาซากิ เรียกว่า 'Tokujyo Rosu' เป็นส่วนที่มีเนื้อแดงและไขมันในสัดส่วนที่สมดุลกันดีที่สุด อีกทั้งยังมีไข่ปลาแซลมอนหมักด้วยน้ำซุปปลาที่ให้รสชาติกลมกล่อม เข้ากันดีกับน้ำซุปริซอตโต้ที่ให้กลิ่นหอมของเนื้ออบอวลอยู่ในทุกคำ
Beef x Seafood
จากนั้นมาต่อที่ Smoked Oyster Bonito Sashimi Salmon roe Cold Spaghettini (380 บาท) สปาเก็ตตินี่แบบเย็น ที่เชฟนำเส้นสปาเก็ตตินี่ที่มีลักษณะคล้ายเส้นสปาเก็ตตี้แต่เส้นจะเรียวเล็กกว่ามาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก ตามมาด้วยซอส Cherry Vinegar และ Citrus Olive Oil ที่ให้รสชาติสดชื่น พร้อมใส่มะเขือเทศสด หอยนางรมที่รมควันแบบโฮมเมด รวมถึงปลาคัตสึโอะในฤดูกาล (ปลาคัตสึโอะที่จับในช่วงฤดูกาลที่เนื้อปลามีรสชาติอร่อยที่สุด) และไข่ปลาแซลมอนที่หมักด้วยน้ำซุปปลา ช่วยเสริมรสชาติเมนูนี้ให้มีความกลมกล่อมมากขึ้น ด้วยความที่เมนูนี้เป็นเมนูที่ทางร้านเลือกใช้เพียงเฉพาะวัตถุดิบตามฤดูกาล เพราะฉะนั้นใครที่อยากลิ้มลองต้องรีบมาทานเฉพาะช่วงนี้เท่านั้น
ส่วนใครชอบทานเนื้อต้องชิม KAGOSHIMA Tokujyo Karubi YUKKE (490 บาท) ยุกเกะที่ร้านใช้เนื้อวากิวชั้นดีจากจังหวัดคาโกชิมะที่สดใหม่และมีไขมันกำลังดี ไร้กลิ่นคาวและนุ่มละลายในปาก จานนี้เชฟนำเนื้อมาผ่านความร้อนเพียงเล็กน้อยให้สุกแค่ระดับแรร์ จากนั้นนำมาปรุงรสแล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล ซอสมะเขือเทศสูตรโฮมเมด งาบดกับสมุนไพร เจลลี่น้ำซุปปลา ปิดท้ายด้วยการวางไข่แดง (ออร์แกนิกสดใหม่ ทานดิบได้) ไว้ด้านบน เวลาทานควรคลุกเคล้าให้เข้ากันก่อนจะให้รสชาติที่ลงตัว
แต่สำหรับใครที่รักซีฟู้ดต่าง ๆ ลองสั่ง AQUAPAZZA (380 บาท) รวมมิตรอาหารทะเล (กุ้ง ปลาหมึก หอย) ที่นึ่งด้วยไวน์ขาว ก่อนจะวางแซลมอนย่างถ่านหอมกรุ่นไว้ด้านบน เป็นเมนูที่ได้รสกลมกล่อมของอาหารทะเลและให้กลิ่นหอมของสาหร่ายทะเลสด ซึ่งชวนให้นึกถึงกลิ่นอายของทะเล
ปิดท้ายด้วยจานเบา ๆ อย่าง SMOKE SALMON (280 บาท) คาเปรเซ่ หรือสลัดสไตล์อิตาเลียนรูปแบบหนึ่ง สูตรเฉพาะของทางร้าน จานนี้ประกอบไปด้วยแซลมอนรมควันแบบโฮมเมด มะเขือเทศสด และมอสซาเรลล่าชีส ให้กลิ่นและรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ของแซลมอนรมควันได้เป็นอย่างดี
