Hola, Bangkok!
‘The Standard’ แบรนด์โรงแรมสุดชิคระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา ที่ล่าสุดนี้ได้มาสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับชาวไทยด้วยการเปิดตัวโรงแรม Flagship แรกในโซนเอเชียอย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon มาพร้อมความพิเศษด้วยการจับมือกับสุดยอดเชฟมากประสบการณ์จากดินแดนต้นตำรับประเทศเม็กซิโกอย่างเชฟ ‘Francisco Paco Ruano’ เปิดตัวห้องอาหารเม็กซิกัน ‘Ojo’ หรือ “โอโฮ” ที่หมายถึง “ดวงตา” ในภาษาสเปน พร้อมรังสรรค์เมนูรสชาติอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เสมือนต้นตำรับจากเม็กซิโกมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง
Mexican-inspired decoration
บนยอดตึกสูงระฟ้าบนชั้น 76 ของ King Power Mahanakhon ได้เป็นที่ตั้งของห้องอาหาร ‘Ojo’ ของโรงแรม The Standard, Bangkok Mahanakhon พร้อมนำพาทุกคนไปดื่มด่ำและลิ้มรสอาหารสไตล์เม็กซิกันระดับพรีเมียม ท่ามกลางบรรยากาศหรูหรา ซึ่งได้รับการตกแต่งให้มีเสน่ห์น่าค้นหาโดยสตูดิโอออกแบบอันมีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง ‘Ou Baholyodhin Studio (OBS)’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘อู้ พหลโยธิน’ ที่เขาได้นำมนต์เสน่ห์ของภูมิภาคอเมริกากลางที่รายล้อมไปด้วยวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง ผสานความเป็นยูโรเปี้ยน แอฟริกัน และเอเชียน เข้าด้วยกันจนสร้างสรรค์ออกมาเป็นความแปลกใหม่ที่ลงตัว
ห้องอาหารแห่งนี้จึงถูกเนรมิตออกมาให้สะท้อนความหรูหราในสไตล์ร่วมสมัย โดดเด่นด้วยกระจกใสสูงจรดเพดานที่สามารถมองออกไปเห็นวิวเมืองกรุงเทพมหานครได้ไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมเลือกใช้โลหะโทนสีทองเพื่อสร้างความหรูหรา และหินอัญมณีเข้ามาผสมผสานอยู่ในงานดีไซน์นี้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังเลือกใช้วัสดุสิ่งทอเข้ามาเสริมเติมแต่ง สะท้อนถึงวัฒนธรรมของอเมริกันละตินได้เป็นอย่างดี ทำให้ห้องอาหารแห่งนี้เต็มไปด้วยความประณีต หรูหรา และงดงาม เหมาะสำหรับมาเปิดประสบการณ์ในการทานอาหารเม็กซิกัน พร้อมดื่มด่ำวิวเมืองกันได้อย่างเพลิดเพลิน เติมเต็มมื้ออาหารของทุกคนให้ลงท้ายด้วยความประทับใจ
Fun Contemporary Mexican Cuisine
หลายคนอาจจะมีภาพจำหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาหารสัญชาตินี้ ‘Ojo’ จึงอยากนำเสนออาหารเม็กซิกันที่แท้จริงอย่างถูกต้องทั้งในเรื่องของรสชาติ วัตถุดิบที่เลือกสรร และความสวยงามของอาหารให้ทุกคนได้ลองทานและเข้าใจถึงแก่นแท้ของอาหารเม็กซิกันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟ ‘Paco’ ที่เคยร่วมทำงานกับหลากหลายห้องอาหารที่กวาดรางวัลมาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีร้านอาหารของตัวเองที่มีชื่อว่า ‘Alcalde’ ที่เมืองบ้านเกิดของเขาอย่าง Guadalajara ประเทศเม็กซิโก โดยได้รับรางวัลมากมายเช่นเดียวกัน รวมไปถึงรางวัล Latin America’s 50 Best Restaurants อีกด้วย
ห้องอาหาร ‘Ojo’ ถือเป็นร้านแรกนอกประเทศเม็กซิโกที่เชฟ ‘Paco’ มารังสรรค์สุดยอดเมนู ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ คิดค้นเมนู และส่งต่อศิลปะบนจานอาหารผ่านรสสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ จึงการันตีความอร่อยไม่เหมือนใครในประเทศไทยแน่นอน นอกจากนี้ยังมีเชฟ ‘Alonso Luna Zarate’ มาคอยดำเนินการต่อยอดความคิดสร้างสรรค์และเมนูที่คิดค้นโดยเชฟ ‘Paco’ และทำหน้าที่คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากซัพพลายเออร์ ไม่ว่าจะเป็นชาวเกษตรกร ชาวประมงในประเทศไทย รวมถึงการดูแลทีมที่ห้องอาหารให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
Authentic Mexican Menus with a Twist
‘Ojo’ จึงพร้อมนำเสนอเมนูอาหารเม็กซิกันอย่างมีระดับ โดยส่งตรงวัตถุดิบมาจากเม็กซิโก พร้อมดึงเอารสชาติของวัตถุดิบท้องถิ่นมาผสมผสานความดั้งเดิมเข้าด้วยกัน ออกมาเป็นมื้ออาหารอันสวยงามหน้าตาโมเดิร์น แต่ยังคงรสชาติของต้นตำรับได้อย่างลงตัว สำหรับเมนูแรก ขอแนะนำ Tuna Crudo (690 บาท) เมนูเรียกน้ำย่อยที่มีส่วนผสมของ Bluefin Tuna เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับอะโวคาโด, หัวหอม, เฟนเนล, ผักชี พร้อมเพิ่มรสชาติด้วยซอสมะกอกดำ, พริก และมะนาว ทานคู่กับแป้ง Tostadas เข้ากันได้เป็นอย่างดี
มาถึงอีกหนึ่งเมนูที่น่าสนใจอย่าง Chiangmai Tomato Salad (380 บาท) สลัดผักสด ๆ จากฟาร์มผักจังหวัดเชียงใหม่ มีส่วนผสมของมะเขือเทศสดและส้มจี๊ด ที่คลุกเคล้ารสชาติด้วยนำ้สลัดพริกหมักมายองเนสและเลมอน พร้อมตกแต่งมาอย่างสวยงามด้วย Edible Flowers ดอกไม้ทานได้หลากสีสัน ช่วยเพิ่มให้จานนี้พิเศษมากยิ่งขึ้น
ตามด้วย Esquites (390 บาท) เมนูสตรีทฟู้ดสไตล์เม็กซิกันที่เชฟนำมาครีเอตใหม่ โดยใช้ข้าวโพดอ่อนส่งตรงมาจากเม็กซิโก คลุกเคล้าเข้ากับซอส Jalapeno Mayonnaise, พริกป่น และ Finger Lime โรยหน้าด้วยชีส Pecorino ให้รสกลมกล่อม ทานได้เพลิน ๆ
มาถึงเมนูในหมวด Main Course อย่าง Birria (2,500 บาท) ซี่โครงชิ้นใหญ่ที่เชฟนำไปตุ๋น Slow Cooked กับซอส Jalisco Adobo จนได้ความนุ่มชุ่มฉ่ำ เคียงมาคู่กับหัวหอมย่าง ทานพร้อมข้าวเหนียวและแป้งตอร์ติญ่า โดยสามารถเพิ่มรสชาติด้วยมะนาวหรือซอสพริกได้ตามใจชอบ เหมาะสำหรับสั่งมาทานแบบแชร์ริ่งร่วมกันกับเพื่อนหรือครอบครัว
สำหรับเมนูขนมหวาน ขอแนะนำ Arroz Con Leche (350 บาท) ข้าวพองคลุกเคล้าครีมวานิลลา เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับไอศกรีมรสซินนามอน, ไวท์ช็อกโกแลต และ Sugar Brulée ให้รสชาติหอมละมุนที่ผสมผสานเข้ากับความกรุบกรอบของแผ่นนมถั่วเหลืองได้เป็นอย่างดี ปิดท้ายมื้ออาหารนี้ได้อย่างน่าประทับใจ