Published on February 09, 2024

The First Hybrid Restaurant in Samsen

ชวนปักหมุด Hub รวมความอร่อยแห่งย่านสามเสน-พญาไทที่ OLAN Chef Hub ร้านอาหารไฮบริด ที่รวมคาเฟ่ บาร์ และเชฟเทเบิ้ลไว้ในแห่งเดียว

ด้วยความที่โลเคชันร้านตั้งอยู่ภายในย่านที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ทั้งสถานศึกษา สถานที่ราชการ และสถานพยาบาลต่าง ๆ ร้านอาหารแห่งนี้จึงตั้งใจเปิดให้บริการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มที่เข้ามารับประทานอาหารในแต่ละวันให้เป็นอย่างดีที่สุด โดยที่นี่เกิดขึ้นจากความชอบตระเวนชิมอาหารหลากหลายแนวของ 'คุณกช จารุเศรนี' (ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งบริษัท อุตสาหกรรมนมไทย จำกัด ผู้หรือผลิตนมตรามะลิและเนยออร์คิด) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งร้านอาหารแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารแนวสตรีทฟู้ด, ร้านอาหาร ภัตตาคาร ไปจนถึงระดับไฟน์ไดน์นิ่ง ทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการรวบรวมประสบการณ์การรับประทานอาหารหลากหลายแบบที่แตกต่างมาไว้ในแห่งเดียวกัน
 

OLAN Chef Hub ยินดีต้อนรับ

Functional Space Design for Every Opportunity

ร้านอาหารแห่งนี้ ถูกดีไซน์ออกมาให้เป็น Destination หรือหมุดหมายที่ทุกคนอยากมา ซึ่งรับรองว่าคุ้มค่ากับการเข้ามารับประทานอาหารแน่นอน โดยทีมเชฟของทางร้านนั้นล้วนทำงานอยู่ในสายเชฟอยู่แล้ว นับตั้งแต่ระดับเชฟมิชลินสตาร์ เซเลบริตี้เชฟต่าง ตามมาด้วย Awards Chef อย่าง Master Chef Thailand หรือ Top Chef Thailand เป็นต้น ซึ่งเชฟจากหลาย แวดวงก็จะถูกชักชวน ทาบทามให้มาร่วมกันรังสรรค์ความอร่อยที่ร้านอาหารแห่งนี้ บ้างก็เป็นเชฟจากต่างประเทศที่ชวนมาร่วมโปรเจ็กต์พิเศษ เสิร์ฟความอร่อยแบบเอ็กซ์คลูซีฟตามแต่ละช่วงซีซั่นต่าง

 

หลากหลายโซนนั่งรับประทานอาหารให้เลือกสรร

 

ช่วงกลางวันให้บริการในรูปแบบ Casual Dining ส่วนช่วงกลางคืนพร้อมเปิดให้บริการในรูปแบบของบาร์ ให้ได้ชมดนตรีสดท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

ตอบโจทย์ความเป็น Fuctional Service ในลักษณะของการให้บริการที่ครอบคลุมและครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Event Space / Cafe / Restaurant ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกรูปแบบ (รวมถึงเป็น Co-working Space ได้ด้วย เพราะภายในร้านทุกจุดมีปลั๊กเสียบให้นั่งทำงานได้ด้วยและไม่ว่าลูกค้าจะ Booking หรือ Walk-in เข้ามา ที่นี่ก็พร้อมเสิร์ฟความอร่อย ทั้งเมนู A La Carte และเมนูแบบ Course ซึ่งประเภทอาหารที่ทางร้านเลือกเสิร์ฟความอร่อย มีทั้งเมนู Finger Food, อาหารไทย, เครื่องดื่ม, Fine Dining และ Chef’s Table เรียกว่าตอบโจทย์การให้บริการทุกช่วงเวลา สามารถรองรับการจัดเลี้ยงได้ทั้งกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ จุคนได้เยอะถึง 300 ที่นั่ง พร้อมด้วยห้องวีไอพี ห้องโอมากาเสะ สำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการที่ต้องความเป็นส่วนตัวสูงสุดอีกด้วย

 

โซนคาเฟ่

 

โซน Dining อีกหนึ่งบรรยากาศที่สร้างความแตกต่างและแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

OLAN Chef Hub มีพื้นที่สุดโอฬารสมชื่อ ภายใต้การตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลอฟต์ที่ให้ความรู้สึกร่วมสมัยและร่มรื่น โดยจัดแบ่งสเปซโซนต่าง ๆ ไว้ได้เป็นสัดส่วน เพื่อรวบรวมทุกบรรยากาศของการ Dining มาให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์รับประทานอาหารอย่างสมบูรณ์แบบในทุกโอกาสสำคัญ อาทิ โซนคาเฟ่และบาร์ โซนรับประทานอาหาร โซนครัวเปิด และห้องวีไอพีที่รองรับกลุ่มที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรือนัดประชุมก็เหมาะ พร้อมด้วยช่วงกลางคืนที่เปิดให้บริการในรูปแบบของบาร์ มีวงดนตรีสดมาร่วมสร้างมู้ดบรรยากาศสุดชิล ส่วนอีกจุดเด่นของร้านนี้คือแม้จะอยู่กลางเมืองแต่ก็มีที่จอดรถสะดวกสบายรองรับรถได้มากถึง 40 คัน

 

บรรยากาศชิลเอาต์ด้านนอกร้าน OLAN Chef Hub

Served with Premium Ingredients

วัตถุดิบส่วนใหญ่ที่ทางร้านได้เลือกใช้สำหรับรังสรรค์เมนูต่าง ๆ นั้น ล้วนเป็นวัตถุดิบพรีเมียมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดกาแฟ Old School Blend, ประเภทเนื้อสัตว์ที่ใช้เนื้อเกรดพรีเมียมทั้งหมด พร้อมด้วยการฟอร์มทีมผู้รังสรรค์ความอร่อยเมนูอาหาร ขนมหวาน และเครื่องดื่ม โดยเหล่าเชฟ บาริสต้า และมิกซ์โซโลจิสต์มากฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาครีเอตเมนูซิกเนเจอร์และเมนูใหม่ ให้กับทางร้านอยู่เสมอ

 

โซน Chef's Table ที่พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแบบเป็นส่วนตัว

A Special Course for Valentine Month

ต้อนรับเดือนแห่งความรัก ประจำปี 2567 ด้วยคอร์สเมนูพิเศษสำหรับมื้อเย็นที่ใช้ชื่อว่า 'Love at OLAN Chef Table Valentine's 5 Course' (ราคาคู่ละ 2,900++ บาท / กรณีมา 1 ท่านราคาท่านละ 1,500++ บาท) ซึ่งเลือกเสิร์ฟความอร่อยในสไตล์ Chef’s Table (บริการ Chef’s Table จะต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน และชำระเงินมัดจำ 50%) ผ่านการรังสรรค์โดย 'เชฟมรรค' ผู้มากด้วยประสบการณ์ในแวดวงอาหาร European Molecular Cuisine และอาหารไทยมากว่า 12 ปี ครั้งนี้เชฟมรรคได้ครีเอตมื้ออาหารที่ผสมผสานความลงตัวระหว่างรสชาติ, ความสวยงาม และเรื่องราวของอาหารที่จะทำให้ผู้ที่ได้รับประทานต้องประทับใจ 
 

Love at OLAN Chef Table Valentine's 5 Course (ราคาคู่ละ 2,900++ บาท / กรณีมา 1 ท่านราคาท่านละ 1,500++ บาท)

ภายในคอร์สอาหาร จะประกอบด้วย เมนูเรียกน้ำย่อย เมนูจานหลัก และเมนูของหวาน เริ่มต้นกันที่ Bread Truffle Butter ขนมปังซาวร์โดว์ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเนยรสทรัฟเฟิลซึ่งให้รสเค็มกำลังดี พร้อมมีความหอมมันเป็นพิเศษ ให้ได้รับประทานรองท้องเป็นออเดิร์ฟตามธรรมเนียมของสเต็ปการรับประทานอาหารสไตล์ Chef's Table หรือ คอร์ส Fine Dining

 

Bread Truffle Butter

ตามมาด้วย Amuse-bouche กับเมนู Deep Fry Oysters Ponzu Gel and Dill หอยนางรมที่ผ่านการ Deep Fry ทอดในน้ำมันด้วยอุณหภูมิที่พอเหมาะจนได้ความกรอบนอกนุ่มใน ท็อปด้วยอูนิหรือไข่หอยเม่นมาแบบพูน ๆ ซึ่งช่วยเสริมรสชาติความครีมมี่ เติมความสดชื่นด้วยพอนสึเจล และโรยหน้าด้วยใบผักชีลาวที่เพิ่มความหอมให้กับเนื้อหอยนางรมทอดได้เป็นอย่างดี

 

Deep Fry Oysters Ponzu Gel and Dill

ต่อเนื่องความอร่อยสองเมนูอาหารทานเล่นจานพิเศษ ได้แก่ Prawn Bisque​ with Tiger Prawn ซุปกุ้งรสเข้มข้นที่เชฟได้เล์อกใช้ทุกส่วนของกุ้งลายเสือมาทำเป็นซุปข้น ๆ เสิร์ฟพร้อมเนื้อกุ้งลายเสือย่างตัวโต สำหรับเมนูนี้ให้ความหอมละมุนและความครีมมี่ของมันหัวกุ้งแบบเต็มคำ

 

Prawn Bisque​ with Tiger Prawn

Truffle​ Risotto​ with​ Scallops เมนูรีซอตโต้ซิกเนเจอร์ของทางร้านที่นักชิมหลาย คนชื่นชอบ ประกอบด้วย ข้าวรีซอตโต้ หอยเชลล์เนื้อนุ่มหนึบ รสละมุน มาพร้อมกลิ่นหอม ๆ ของเห็ดทรัฟเฟิล ความกรอบของเห็ดกรอบและชีสพาเมซานกรอบที่รับประทานเข้ากันอย่างลงตัว

 

Truffle​ Risotto​ with​ Scallops

ก่อนจะเสิร์ฟความอร่อยสุดไฮไลต์ด้วย Main Course หรือเมนูจานหลักอย่าง Beef​ Wellington​ Mash​ Potato​ Red​ Wine​ Sauce​ เมนูสุดคลาสสิกตลอดกาลที่สายเนื้อต้องเลิฟ โดยเป็นหนึ่งในเมนูอาหารที่หาทานได้ยาก เพราะมีขั้นตอนในการทำที่ซับซ้อน ผู้ปรุงต้องใช้ทักษะในการปรุงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นส่วนเนื้อที่ต้องปรุงไม่สุกจนเกินไปเพื่อให้ได้สีสันและเนื้อสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น, วัตถุดิบเห็ดที่ใช้ทำเป็นไส้ต้องปรุงให้หอม มีรสเข้มข้นและแห้งกำลังดี เพื่อไม่ให้แป้งพัฟเปียก, แป้งพัฟที่ใช้ห่อเนื้อและเห็ดต้องไม่บางกรอบจนเกินไป เพื่อไม่ให้เนื้อแป้งฉีกและมีเนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มในกำลังดี และการอบ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ Beef Wellington เพราะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้ส่วนผสมทุกอย่างออกมาสุกกำลังดี ทั้งหมดนี้จะเสิร์ฟมาพร้อมกับซอสไวน์แดงและมันบดเนื้อเนียนนุ่ม ที่ให้ความอร่อยแบบเข้ากั๊นเข้ากัน

หากใครไม่รับประทานเนื้อวัว ทางร้านก็มี Option เสริมให้เลือกรับประทานด้วยเมนู Salmon Wellingtons Mash Potato White Wine ซึ่งเชฟได้เลือกใช้เนื้อแซลมอนแทนเนื้อวัว พร้อมเสิร์ฟมาคู่กับซอสไวน์ขาวและมันบดอีกเช่นเดียวกัน
 

Beef​ Wellington​ Mash​ Potato​ Red​ Wine​ Sauce​

จากนั้นปิดท้ายคอร์สวาเลนไทน์สุดพิเศษนี้กันด้วยเมนูของหวานอย่าง Rose Cream​ Cheese​ Milk​ Ice Cream ดอกกุหลาบออร์แกนิก ฟาโกนาร์ด (Fragonard Rose) หรือกุหลาบสายพันธุ์ฝรั่งเศสที่ให้กลิ่นหอม และมีเฉดสีชมพูที่เหมาะกับการทำขนม โดยเชฟจะนำมาคลุกเคล้าเข้ากับเกล็ดน้ำตาล ตัดรสชาติด้วยครีมชีส เพิ่มความกรุบกรอบด้วยครัมเบิล และเสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมนมโฮมเมด ให้ความหวานละมุนเป็นการส่งท้ายมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ

 

Rose Cream​ Cheese​ Milk​ Ice Cream

ส่วนใครที่ต้องการเสริมความอร่อยในธีมวาเลนไทน์ด้วยเมนูเบเกอรี ของหวาน หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ของทางร้านเพิ่มเติมแล้วละก็ ขอแนะนำให้ลองสั่ง Rose Blueberry Cheesecake (190 บาท) บลูเบอร์รีชีสเค้กที่ครีเอตหน้าตาชีสเค้กให้เป็นรูปทรงดอกกุหลาบสีแดง เนื้อเค้กให้สัมผัสนุ่มละมุนพร้อมด้วยรสหวานอมเปรี้ยวของบลูเบอร์รีที่เข้ากันกับชีสเค้กได้อย่างลงตัว หากกำลังมองหาดริงก์สดชื่น ๆ ไว้เติมความเฟรชระหว่างมื้ออาหารต้องนี่เลย Double Strawberry Choco (130 บาท) สมูทตี้สตรอเบอร์รีที่นำมาปั่นรวมเข้ากับตัวซอสช็อกโกแลตพรีเมียม ให้รสชาติหวานหอมที่ลงตัว ท็อปด้วยวิปปิ้งครีมและสตรอเบอร์รีสด และโรยหน้าด้วยแครกเกอร์บดละเอียด หรือจะเป็น Strawberry French Rosé Soda (130 บาท) สตรอเบอร์รีผสมกับไซรัปกุหลาบฝรั่งเศสที่ทางร้านทำเอง ให้รสเปรี้ยวของสตรอเบอร์รีและให้กลิ่นหอมหวานจากไซรัปกุหลาบ พร้อมท็อปด้วยโซดาเพื่อเพิ่มความสดชื่นซาบซ่า ก็จัดว่าดื่มแล้วรีเฟรชได้ดีงามไม่แพ้กัน

 

Rose Blueberry Cheesecake, Double Strawberry Choco และ Strawberry French Rosé Soda

Info
Hours
Everyday : 7AM - 12AM
Price

฿฿฿฿ 501-1,000 บาทต่อคน

Address
132/622 ถนนเศรษฐศิริ 2 (พระราม 6) (ใกล้กับโรงพยาบาลวิชัยยุทธ เยื้องที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์) เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
Map
Facilities
Suggest an Edit