New Home Of One Ounce
โครงการ ช่างชุ่ย (ChangChui) ศูนย์รวมความหลากหลายของร้านค้า ร้านอาหาร และงานศิลปะภายใต้คอนเซ็ปต์ ดีไซน์สุดสร้างสรรค์ ในย่านธนบุรี-บางพลัด ได้ต้อนรับสาขาใหม่ของ One Ounce For Onion คาเฟ่สุดฮิตจากย่านเอกมัย โดยสาขานี้ได้มีการพัฒนารูปแบบนำเสนอทั้งด้านอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น นำเอาประสบการณ์ด้านการทำอาหาร ผสมผสานกลิ่นอายของความเป็นตะวันออกและตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน ให้แต่เมนูเต็มไปด้วยไอเดียแปลกใหม่ รสชาติไม่ซ้ำใคร
Where Eat Meets Art
เริ่มจากบรรยากาศด้านในที่เลือกดีไซน์ตามคอนเซ็ปต์ของช่างชุ่ย รอบตัวร้านเลือกใช้วัสดุไม้เก่า กระจก บวกกับเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งแนววินเทจ ส่วนไฮไลท์สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การจับคู่กันระหว่างร้าน One Ounce For Onion ร้านเครื่องเขียน Lamune และร้านหนังสือ The Booksmith ที่ส่งตรงมาจากเชียงใหม่ โดยจัดร้านให้มีลักษณะเป็นแบบผสมผสาน เพื่อให้ระหว่างที่รออาหารและเครื่องดื่ม ทุกคนสามารถเดินไปเลือกช้อปหรืออ่านหนังสือได้
Brewing The Perfect Cup
หากมาถึงที่นี่แล้ว พลาดไม่ได้ที่จะต้อง (ลอง) สั่งกาแฟมาจิบสักแก้ว โดยเมนูที่ทางร้านนั้นแนะนำก็คือ Coffee Filter (120 บาท) กาแฟดริป ที่นำเมล็ดกาแฟตามแต่ละสูตรที่คนดื่มชื่นชอบ ซึ่งผ่านการคั่วบดแล้วมาดริปผ่านกรวยที่มีกระดาษกรองกากกาแฟ จนกระทั่งได้กาแฟที่ให้รสชาติสดแท้ กลมกล่อม
All Good Combinations
สำหรับเมนูของที่นี่เกิดจากความตั้งใจของ คุณฟ้า - นิโรธา วีรธรรมพูลสวัสดิ์ เจ้าของร้านและทีมงานที่ต้องการเสิร์ฟทั้งในส่วนของอาหาร กาแฟ และเครื่องดื่มอื่น ๆ ควบคู่กันไป โดยเฉพาะเมื่อได้เชฟฝีมือดีอย่าง คุณแทน - ภากร โกสิยพงษ์ มาร่วมครีเอทรสชาติใหม่ ๆ ทำให้แต่ละเมนูมีความน่าสนใจมากขึ้น ใช้เทคนิคการประกอบอาหารสไตล์ตะวันตก แล้วนำมาประยุกต์ให้เข้ากันกับวัตถุดิบของไทย รวมถึงการจับคู่เมนูอาหารและเครื่องดื่มที่ต่างฝ่ายต่างชูรสชาติซึ่งกันและกัน
Let's Start!
เริ่มต้นกันที่เมนู It’s sound jap crab (220 บาท) หนึ่งในเมนูทานเล่นที่นำเนื้อปูมาปรุงรสชาติ คลุกเคล้าให้เข้ากันกับครีมมิโสะ ไข่ปลาค็อด และแอปเปิ้ล โดยจานนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นสลัดญี่ปุ่นหน่อย ๆ ที่ให้ทั้งความสดชื่น และรสชาติแสนกลมกล่อม
สำหรับเมนูนี้ถูกนำมาจับคู่กันกับม็อกเทลสูตรพิเศษอย่าง Nanas Tarik (120 บาท) เป็นการนำน้ำสับปะรดมาคั้นสดมาผสมกับไซรัปกล้วย จนได้น้ำสีเหลืองทอง รสเปรี้ยวอมหวาน ดื่มแล้วสดชื่น อีกทั้งยังช่วยทำให้เมนูปูจานนี้มีรสชาติเข้มข้นขึ้นอีกด้วย
ก่อนจะท้าชิงด้วยเมนูที่ชื่อว่า Dirty Bird (180 บาท) สะโพกไก่หมักข้ามคืนจนได้รสชาติเข้มข้นเข้าเนื้อ ก่อนจะนำไปทอดจนหนังกรอบ แล้วคลุกเคล้ากับแตงกวาที่หั่นสไลด์บาง ๆ Soy Honey โรยถั่วลิสงคั่ว ผักชี และราดน้ำอาจาดด้านบน เป็นการตัดรสชาติที่ลงตัว
เพื่อรสชาติที่ดียิ่งขึ้น แนะนำว่าต้องทานคู่กับ E-Sarn Classic (120 บาท) ม็อกเทลที่เบสโดยน้ำมะเขือเทศสกัดเย็นสีใส ๆ ก่อนจะเพิ่มรสชาติด้วยตะไคร้ ส่วนผสมสมุนไพรไทยที่เป็นเครื่องต้มยำ ซึ่งทางร้านสามารถมิกซ์ส่วนผสมออกมาเป็นเครื่องดื่มม็อกเทลที่มีรสชาติลงตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ปิดท้ายความอร่อยมื้อนี้กันด้วย Complimentary Menu อย่าง Tiramisu ขนมหวานสไตล์อิตาเลียน แต่นำเสนอในแบบที่แตกต่าง โดยแบ่งออกเป็น 3 เลเยอร์ เริ่มจากชั้นล่างสุดเป็นแป้ง Dough ตามมาด้วยชั้นกลางที่เป็นอเมริกาโน่กรานิต้า กาแฟสดรสกลมกล่อมที่ปั่นออกมารูปของเกล็ดน้ำแข็ง ส่วนชั้นบนสุดท็อปด้วยครีมสด โรยผงกาแฟ และตกแต่งด้วยดอกคำแก้วที่ให้รสหวานมัน เวลาทานให้ตักทานพร้อมกัน จะได้รสชาติที่เข้ากันดี