The Original Taste of Otaru Sushi
เมื่อเอ่ยถึง ‘โอตารุ (Otaru)’ เมืองท่องเที่ยวยอดนิยมที่ตั้งอยู่บนเกาะฮอกไกโดของประเทศญี่ปุ่น เชื่อว่าหลายคนคงอดนึกถึงเมนูสุดฮิตอย่างซูชิ ซาชิมิไม่ได้เป็นแน่ เพราะเมืองโอตารุที่ว่านี้ เขาได้ฉายาว่าเป็นดินแดนแห่งซูชิ ซึ่งมีท่าเรือจับปลาและลำคลองที่ไหลเชื่อมออกสู่ทะเล ตลอดเส้นทางจึงเต็มไปด้วยร้านซูชิน้อยใหญ่ ตั้งเรียงรายให้เหล่า Sushi Lover ได้เข้าไปลิ้มลอง หนึ่งในร้านขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ MASA - Otaru Masazushi ร้านซูชิเก่าแก่ชื่อดังที่อยู่คู่เมืองโอตารุมายาวนานกว่า 80 ปี และจะดีแค่ไหนถ้าล่าสุดร้านซูชิแห่งนี้ได้ขยายความอร่อยมาเปิดให้บริการที่เมืองไทย ณ ICONSIAM บริเวณชั้น 4 โซน Rose Dining ฝั่ง Siam Takashimaya ให้คนรักอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะ Sushi Lover ได้ตามไปสัมผัสความอร่อยด้วยตัวเองแบบไม่ต้องบินไกลไปทานถึงฮอกไกโด
MASA - Otaru Masazushi ได้ถ่ายทอดความอร่อยระดับตำนานจากรุ่นสู่รุ่น นับตั้งแต่รุ่นคุณปู่ของ เชฟ Takayuki Nakamura ผู้เป็นเจ้าของร้านหรือทายาทรุ่นที่ 3 คนปัจจุบัน แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ทางร้านก็ยังคงครองใจนักทานซูชิได้ดีเสมอมา
ปัจจุบันร้าน MASA - Otaru Masazushi ได้เปิดให้บริการมาแล้วทั้งหมด 5 สาขา โดยสาขาที่ 1 และสาขาที่ 2 นั้นเป็นสาขาหลักที่เปิดให้บริการในเมืองโอตารุ เน้นเสิร์ฟเมนูซูชิทั่วไปที่ให้บริการแก่กลุ่มนักท่องเที่ยว ตามมาด้วยสาขาที่ 3 ที่เปิดให้บริการในย่าน Ginza เมืองโตเกียว และสาขาที่ 4 ที่เปิดให้บริการในย่าน Shinjuku เมืองโตเกียวอีกเช่นเดียวกัน เน้นเสิร์ฟในลักษณะของคอร์สโอมากาเสะและซูชิแก่กลุ่มลูกค้าที่มีระดับมากขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ส่วนสาขาที่ 5 ที่เปิดให้บริการภายในศูนย์การค้า ICONSIAM นับเป็นการขยายสาขาไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรกของทางแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นสาขาแรกในประเทศไทยอีกด้วย
Otaru Vibes
สำหรับบรรยากาศภายในร้าน MASA - Otaru Masazushi สาขา ICONSIAM มาในคอนเซ็ปต์การจำลองบรรยากาศเมืองโอตารุ ที่หยิบยกสไตล์การตกแต่ง ของที่ขึ้นชื่อ ไปจนถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของเมืองท่าที่ติดกับทะเลมาถ่ายทอดให้คนทานอาหารได้สัมผัสความเป็นเมืองโอตารุอย่างแท้จริง ภายใต้ความหรูหราของการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ วัสดุหิน เครื่องแก้ว โคมไฟ และการใช้ลวดลายของคลื่นทะเลบนกระจกใส ชวนให้นึกถึงคลองโอตารุและความเป็นเมืองชายทะเลของเมือง ๆ นี้ได้อย่างเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น
ทางร้านถูกแบ่งออกเป็น 2 โซนหลัก ๆ คือ โซนเคาน์เตอร์บาร์หรือซูชิบาร์ จำนวน 10 ที่นั่ง สามารถมองเห็นการรังสรรค์เมนูต่าง ๆ ของเชฟ ที่พร้อมเสิร์ฟให้ได้ทานแบบคำต่อคำ
และ โซน Private Room หรือห้องทานอาหารสุดส่วนตัวดีไซน์สุดหรู จำนวน 6 ที่นั่ง ที่เหมาะสำหรับมานั่งทานกันแบบเฉพาะกลุ่ม
Most of the Ingredients are from Hokkaido
มาถึงในส่วนของอาหาร สาขานี้จะเสิร์ฟแบบ Original ตามสูตรต้นตำรับของเมืองโอตารุ ที่มีทั้งคอร์สซูชิหลากหลายแบบและโอมากาเสะในสไตล์ของ ‘Ezo Mae’ ซึ่งเน้นความเรียบง่ายและความสดใหม่ของเนื้อปลา ได้รสชาติอย่างเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งจนรสชาติของวัตถุดิบต้องผิดเพี้ยนไปกว่าที่ควรเป็น แต่ยังคงความอร่อยให้ผู้ที่มาทานได้อิ่มฟินไปกับวัตถุดิบคุณภาพที่ส่งตรงมาจากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น 6 ครั้งต่อสัปดาห์ เพราะฉะนั้นมั่นใจได้ว่า วัตถุดิบแต่ละชนิดที่ทางร้านเลือกใช้ สดใหม่ ให้รสธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์แน่นอน
ที่นี่จะเน้นเสิร์ฟในลักษณะของคอร์สโอมากาเสะ 2 แบบ แบบที่ 1 คือ OMAKASE Course (6,000++ บาท ต่อคน) ที่เสิร์ฟเมนูพิเศษทั้งหมด 10 คำ พร้อมด้วยเมนู Appetizer เมนูซุป และเมนูของหวานปิดท้าย ส่วนแบบที่ 2 คือ Mini OMAKASE Course (4,000++ บาท ต่อคน) ที่เสิร์ฟเมนูพิเศษทั้งหมด 6 คำ ส่วนใครที่ไม่ต้องการทานแบบเป็นคอร์ส สามารถสั่งทานแบบเป็น Lunch Set หรือ Dinner Set และเมนู A La Carte ที่จะมีการเปลี่ยนวัตถุดิบหรือเมนูไปตามฤดูกาล
Omakase Dining Experience
ในครั้งนี้ทางเชฟเลือกเสิร์ฟแบบ OMAKASE Course (6,000++ บาท ต่อคน) คอร์สโอมากาเสะ ที่เสิร์ฟเมนูพิเศษทั้งหมด 10 คำ เริ่มต้นกันที่เมนูแรกกับ Uni Iri Cha Wan Mushi ไข่ตุ๋นสไตล์ฮอกไกโด ที่มีเกาลัดเป็นส่วนผสม รวมไปถึงวัตถุดิบจากท้องทะเลอย่างหอยโฮตาเตะและเนื้อกุ้งเน้น ๆ ท็อปด้านบนมาด้วย Uni หรือไข่หอยเม่นและเห็ดชิตาเกะ เป็นไข่ตุ๋นที่ได้รสหวานของเนื้อเกาลัด พร้อมตัดรสชาติด้วยเครื่องเคียงขิงดองและรากบัวดอง
เมนูถัดมาคือ Hakkaku เนื้อปลามังกรญี่ปุ่นหรือปลาทะเลน้ำลึก ที่ถูกนำมาใช้เป็นวัตถุดิบเฉพาะตามช่วงฤดูกาลที่เนื้อปลามีการสะสมไขมันอย่างเต็มที่ มีรสชาติอร่อย เหมาะสำหรับนำมาทำซูชิ มีลักษณะเป็นปลาเนื้อขาวที่ทาด้วยซอสโชยุ ได้รสเค็มกำลังดี
ตามมาด้วยคำที่ 3 กับเมนู Nishin หรือปลาแฮร์ริ่ง ใครได้มาทานตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงราว ๆ เดือนกุมภาพันธ์จะได้ลิ้มรสความอร่อยของเนื้อปลาชนิดนี้อย่างเต็มที่ เพราะเป็นช่วงที่ปลาสะสมพลังงานเพื่อเตรียมวางไข่ทำให้เนื้อปลามีไขมันเพิ่มมากขึ้น รสชาติดีขึ้น ซูชิคำนี้เชฟจะแล่เนื้อปลามาแบบบาง ๆ แล้วค่อยมาเรียงเป็นชั้น ๆ มองเห็นริ้วส่วนหนังสีเงินสวยงาม เวลาทานจึงให้รสสัมผัสที่แปลกใหม่
คำที่ 4 มีชื่อว่า Toki Shirazu ซูชิคำนี้คือ Premium Summer Baby Salmon เนื้อปลาแซลมอนที่จับได้ในช่วงฤดูร้อน จะให้เนื้อที่สดฉ่ำกว่าฤดูกาลอื่น ๆ มีสีสันน่าทาน และให้รสสัมผัสนุ่มละมุนเต็ม ๆ คำ
มาถึงคำที่ 5 กับเมนูไฮไลต์อย่าง IKA-Somen เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน เป็นการดัดแปลงทำเส้นโซเมนด้วยเนื้อปลาหมึก ที่เชฟได้ทำการสไลซ์เป็นเส้นบาง ๆ ให้มีลักษณะคล้ายกันกับเส้นโซเมน เวลาเสิร์ฟจะท็อปด้านบนมาด้วยไข่หอยเม่นที่รองมาด้วยใบโอบะ ให้กลิ่นหอมของสมุนไพร แล้วโรยด้วยโนริสาหร่ายกรอบ ๆ ส่วนเวลาทานให้คีบเส้นปลาหมึกลงไปในซอสที่มีไข่แดงและไข่หอยเม่นไว้ด้านใน จากนั้นคนให้เข้ากัน เหมือนการทานบะหมี่เย็น ความอร่อยจะอยู่ที่ไข่หอยเม่นซึ่งให้รสมันกลมกล่อม เข้ากันดีกับความหนุบหนับของเนื้อปลาหมึกสด ๆ
IKA-Somen เป็นเมนูเอกลักษณ์เฉพาะสไตล์ฮอกไกโด ด้วยส่วนผสมของไข่หอยเม่นและไข่แดง คิดค้นโดยชาวประมงของเมืองโอตารุ
เอาใจคนชอบทานกุ้งเป็นพิเศษด้วยคำที่ 6 กับเมนู Botan-Ebi กุ้งโบตันไซส์จัมโบ้ ที่เวลาเสิร์ฟให้ทานจะถูกแบ่งออกเป็น 2 คำ คือ ส่วนหัว และ ส่วนลำตัวกุ้ง โดยที่ส่วนหัวของกุ้งจะทำออกมาในลักษณะของข้าวห่อสาหร่ายอัดแน่นไปด้วยมันกุ้งล้วน ๆ ส่วน ลำตัวกุ้งนั้นมีเนื้อแน่น รสหวานกลมกล่อม
ระหว่างที่เสิร์ฟเมนูหลักอยู่นั้น ทางเชฟจะเสิร์ฟคั่นด้วยเมนู Appetizer 3 อย่าง ได้แก่ Kegani ปูขนจากฮอกไกโดที่ราดด้วยซอสมันปู, Shake Kirimomizuke เนื้อปลาแซลมอนที่หมักมากับข้าวญี่ปุ่น พร้อม IKURA หรือไข่ปลาแซลมอน และ Maguro Arima Sanshori ทูน่าต้มซีอิ๊ว
ก่อนจะเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติขึ้นอีกนิดกับคำที่ 7 ด้วย Ankimo ตับปลาของปลาอังโกะ ที่ราดด้วยซอสพอนซึ ให้รสเปรี้ยวอมหวาน ทานแล้วรู้สึกสดชื่น ตัดความเลี่ยนของตับปลาได้เป็นอย่างดี และคำที่ 8 กับเมนู Hitokuchi-IKURA ไข่ปลาแซลมอนที่หมักด้วยซอสโชยุ ท็อปบนข้าวญี่ปุ่น เสิร์ฟมาในลักษณะของ IKURA-Don ไซส์เล็ก ๆ
จากนั้นเพิ่มความฟินอย่างต่อเนื่องด้วย Kaizui Bafun Uni ไข่หอยเม่นสายพันธุ์ Bafun ที่ถูกแช่มาในน้ำทะเลหรือเกลือทะเลด้วยกรรมวิธีธรรมชาติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งรสชาติใด ๆ แล้ววางท็อปลงบนข้าวญี่ปุ่น ให้ After Taste ที่มีรสเข้มข้นกลมกล่อม ให้ความละมุนคนละแบบกับซอสโชยุ
ไฮไลต์อีกหนึ่งคำ ก่อนถึงคำสุดท้ายคือ Otoro ส่วนที่อร่อยที่สุดของปลาทูน่า ซึ่งทางร้านได้คัดเฉพาะเนื้อส่วนที่ติดกับเหงือก หาทานได้ยากมาก ๆ เพราะมีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อปลา ความอร่อยจึงขึ้นอยู่กับช่วงฤดูกาลของการจับปลาด้วย
ปิดท้ายคอร์สโอมากาเสะคำที่ 10 กับ Masano Tamako ไข่หวานสูตรเฉพาะ ที่ด้านในมีส่วนผสมของปลาป่น กุ้งป่น ให้รสชาติหวานละมุนเหมือนขนมคัสตาร์ด
ภายในคอร์สโอมากาเสะนี้ ทางร้านจะเสิร์ฟ Aosa Miso Soup ซุปมิโสะร้อน ๆ ที่ใส่มาพร้อมสาหร่ายและอาโอซะ ซดทานตอนร้อน ๆ จะได้รสกลมกล่อมของซุปและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบมิโสะ ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก ตามมาด้วยเมนูของหวาน Monaka Matcha Ice ขนมปังกรอบนอกนุ่มในสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีลักษณะคล้ายขนมมาการอง ด้านในสอดไส้ด้วยไอศกรีมชาเขียวและซอส Kuromitsu ได้รสหวานละมุน ทิ้งท้ายมื้อสุดพิเศษนี้ได้อย่างน่าประทับใจ
Must Read!
- การมาทานอาหารที่ร้าน แนะนำให้สำรองที่นั่งหรือจองล่วงหน้าก่อนเสมอ เพื่อเชฟจะได้ทำการเตรียมวัตถุดิบพิเศษก่อนการรังสรรค์แต่ละเมนูได้อย่างเต็มที่
