The Original Taste from Osaka
สำหรับใครที่กำลังมองหามื้ออาหารสุดพิเศษเพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเองหรือเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสพิเศษ การได้ลิ้มรสชาติอาหารญี่ปุ่นที่ผ่านการปรุงรสด้วยศาสตร์ชั้นสูงและเสิร์ฟในรูปแบบของ Omakase ศิลปะการปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ก็นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะการได้ทานอาหารแบบ “เสิร์ฟตามใจเชฟ” นั้น เป็นการเปิดประสบการณ์อาหารที่แปลกใหม่และได้ลิ้มรสชาติวัตถุดิบอาหารชั้นดี อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาหารญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
ขอแนะนำให้ลองจูงมือคนพิเศษไปสัมผัสประสบการณ์การทานอาหารรูปแบบนี้กันที่ Sushiyoshi Bangkok ห้องอาหารโอมากาเสะและซูชิสไตล์เอโดมาเอะ ซึ่งตั้งอยู่ภายในโรงแรม W Hotel Bangkok ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสาทรเหนือ ต้อนรับนักชิมทุกคนสู่ความเงียบสงบเรียบง่ายสไตล์เซน โดยห้องอาหารดังกล่าวนี้ ได้ผ่านการสั่งสมชื่อเสียงมาอย่างยาวนานตั้งแต่สาขาแรกในย่าน Minamimorimachi ของเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ด้วยความโดดเด่นในเรื่องของการรังสรรค์เมนูที่สอดคล้องกับวัตถุดิบได้เป็นอย่างลงตัว จนกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงของคนที่ชอบทานโอมากาเสะ รวมถึงคว้ารางวัลมิชลินสตาร์ ระดับ 2 ดาวของประเทศญี่ปุ่นมาครอบครอง ตอกย้ำคุณภาพของทางร้านได้เป็นอย่างดี
Quality Comes First
ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแสนอบอุ่นสบาย ๆ ผ่านรอยยิ้มของเชฟที่พร้อมจะส่งมอบความอร่อยผ่านการรังสรรค์เมนูแต่ละคำด้วยความตั้งใจ พิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบสดใหม่ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ให้ทุกคนที่เข้ามาทานได้ลิ้มรสชาติแบบคำต่อคำ โดยเน้นไปที่ความหลากหลายของเนื้อปลาคุณภาพกับ Omakase Full Course (6,800++ บาท) ไล่ระดับรสชาติอ่อนที่สุดไปยังรสชาติที่เข้มข้นที่สุด เริ่มต้นที่ปลาหมึกขาว Shiroika เสิร์ฟแบบดั้งเดิมพร้อมกับเห็ด Mutsutake เพิ่มรสชาติด้วย Rock Salt และ Sesame Oil ต่อด้วย ปลา Kinki ที่มีสีแดงเป็นเอกลักษณ์ แล้วเพิ่มกิมมิกให้คำนี้ด้วยกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของ Hot Radish
ต่อมาเป็นเนื้อปลา Kinmedai ซึ่งถือได้ว่าเป็นปลาเกรด A ของญี่ปุ่น โดยเชฟได้นำเนื้อปลามาหมักกับเหล้า Control แล้วเสิร์ฟมาพร้อมกับไข่ปลา Karatsumi ที่เชฟเสิร์ฟผ่านมือสู่มือ ให้คุณได้สัมผัสรสหวานของเนื้อปลาแบบเต็มคำ
อีกหนึ่งคำสุดประทับใจคือ Mana-Katsuo หรือปลาเต๋าเต้ยญี่ปุ่นที่หมักด้วยซอสมิโสะก่อนจะนำไปย่างบนเตาถ่าน เสิร์ฟแบบเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอร่อยตามแบบต้นตำรับ
ส่วนไฮไลต์ของที่นี่ต้องยกให้กับ Aka Uni อูนิหรือไข่หอยเม่นชั้นดีของแบรนด์ Maruhiro ที่นำเข้ามาจากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น โดยคำนี้เชฟจะเสิร์ฟลงบนหลังมือ โดยอูนิจะถูกท็อปด้านบนด้วยไข่ปลาคาร์เวียร์ และ Ikura หรือไข่ปลาแซลมอนสดที่เชฟโชว์ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นซุจิโกะ หรือไข่ปลาแซลมอนแบบยังไม่ได้แยกออกจากพวง จนกระทั่งถึงขั้นตอนของการแยกไข่ปลา, เสิร์ฟมาแบบไข่ปลาล้วน ๆ, เสิร์ฟมาแบบซูชิที่มาพร้อมกับ Finger Lime แล้วโรยด้วยเกลือชั้นดีเล็กน้อย เพื่อเติมเต็มรสชาติให้กลมกล่อมมากขึ้น
Traditional Soup
จากนั้น ตัดรสชาติระหว่างการเสิร์ฟคอร์สโอมากาเสะด้วยเมนูซุปร้อน ๆ ให้ได้ซดคล่องคอกับเมนูที่ชื่อว่า Kimedai Miso Soup ซุปมิโสะที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อปลาคิเมไดในน้ำซุปร้อน ๆ พร้อมเพิ่มความหอมหวานด้วยต้นหอมญี่ปุ่น ก่อนจะปิดท้ายด้วยเมนูปลาเนื้อขาวอย่าง Kitsu หรือปลาทรายญี่ปุ่น เสิร์ฟมาพร้อมกับชีสจากอิตาลี ให้รสชาติที่เข้ากัน
หลังจากซดน้ำซุปร้อน ๆ ก็พร้อมทานเมนูต่อไปกับปลาเนื้อแดงอย่าง Makuro หรือปลาทูน่าที่หมักเข้ากับโชยุไว้ถึง 3 คืน เสิร์ฟแบบพอดีคำ ที่ท็อปด้านบนมาด้วยมัสตาร์ด จากนั้นไปต่อกันที่ Otoro สุดยอดเนื้อปลาส่วนที่เป็นที่หนึ่งในใจใครหลายคน โดยที่นี่จะเสิร์ฟมาพร้อมกับ Black Truffle และน้ำมันงา เป็นการผสมผสานรสชาติกันออกมาได้อย่างลงตัว
อีกหนึ่งคำที่อร่อยไม่แพ้กัน ขอยกให้กับ Carpaccio ที่เชฟเลือกใช้กุ้งหวาน หรือโบตันเอบิ มาทำให้แบน แล้วท็อปด้านบนด้วยมันกุ้งที่เคี่ยวมากับน้ำสต็อก ก่อนจะนำไปทำเป็นไอศกรีม ทานคู่กันแล้วได้รสสัมผัสที่ลงตัว ตามมาด้วย Katsuo ปลาคัตสึโอะที่เชฟย่างด้วยวิธีแบบญี่ปุ่นโบราณ หรือที่เรียกว่า Torayaki ซึ่งเสิร์ฟเคียงมากับซอสมิโสะเพื่อเพิ่มความกลมกล่อม จากนั้นปิดท้ายด้วยความพรีเมียมของ Extreme Maki มากิหรือข้าวห่อสาหร่ายคำโตที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบอันเลอค่า ทั้งส่วนของ Akami, Chutoro และ Otoro รวมกันมาแบบล้น ๆ ในคำเดียว
ส่งท้ายมื้อพิเศษนี้ด้วยเมนูของหวานหอมอย่าง ไอศกรีมถั่วแดงญี่ปุ่น สูตรโฮมเมดที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเชอร์รีลูกโตที่นำเข้าจากอเมริกา เป็นการปิดคอร์สนี้ได้อย่างน่าประทับใจ