Thai Charcoal Grill Fine Dining Restaurant in Charoen Krung
ปลุกกระแสอาหารไทยสไตล์ไฟน์ไดน์นิ่งกันอีกครั้งสำหรับ TAAHRA ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง นำทีมครีเอตความอร่อยโดย ‘เชฟน็อค-พัทธ์อินทร์ พรหมสวัสดิ์’ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารไฟน์ไดน์นิ่ง พร้อมเคยร่วมงานกับเชฟร้านอาหารระดับมิชลินหลากหลายแห่ง โดยครั้งนี้เขาเลือกรังสรรค์ความอร่อยผ่านกรรมวิธีการย่างด้วยเตาถ่าน (Thai Charcoal Grill) ตัวเอกที่ใช้ปรุงอาหารคอร์สพิเศษซีซั่นนี้โดยเฉพาะ!
สำหรับชื่อร้าน ‘TAAHRA’ หรือที่อ่านออกเสียงว่า ‘ธารา’ นั้น สืบเนื่องมาจากกรรมวิธีการปรุงอาหารของร้านส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เทคนิคการย่างด้วยเตาถ่านซึ่งต้องผ่านความร้อนสูง จึงเลือกใช้ชื่อ ‘ธารา’ ที่หมายถึง ธารน้ำหรือสายน้ำ มาช่วยดับทอนความร้อนของไฟบนเตาถ่าน เป็นการสร้างกิมมิกเล็ก ๆ ให้ล้อไปธีมของร้านอีกด้วย
Real Thai Flavours with The Best of Ingredient from Around The World
ร้านอาหาร TAAHRA แห่งนี้ เชฟน็อคได้เลือกนำเอาเทคนิคการทำอาหารสไตล์ยุโรปมาประยุกต์เข้ากับเมนูอาหารไทย ซึ่งมีการเลือกใช้วัตถุดิบชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีไฮไลต์อยู่ที่การใช้ถ่านในการปรุงอาหารทั้งหมด รังสรรค์ออกมาเป็น Tasting Menu 13 คอร์ส ในราคา 3,800++ บาท / คน (แพริ่งไวน์ 2,500++ บาท)
“การใช้ถ่านเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมาโดยตลอด ผมอยากมองกลับไปที่รากฐานของคนไทยและค้นหาความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของการปรุงอาหารด้วยถ่าน” เชฟน็อค-พัทธ์อินทร์ พรหมสวัสดิ์ เผยถึงแนวคิดการปรุงอาหารโดยใช้เตาถ่านเป็นหลัก
และในฐานะที่เป็นร้านอาหารในประเทศไทย เชฟน็อคจึงไม่ละทิ้งการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นไทย โดยทางร้านได้เลือกใช้ทั้งไมโครกรีนออร์แกนิกจากจังหวัดเชียงใหม่ ผักต่าง ๆ จากฟาร์มออร์แกนิกนครปฐม และปลาสด ๆ จากท้องทะเล นอกจากนี้ TAAHRA ยังเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่มีไวน์หลากหลายชนิดและมีเอกลักษณ์ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยมีถึง 40 ชนิด ตั้งแต่ไร่องุ่นที่ดีที่สุดในออสเตรเลียไปจนถึงไวน์คลาสสิกในสมัยก่อนให้สั่งมาดื่มแพริ่งคู่กับมื้ออาหาร Tasting Menu คอร์สพิเศษนี้อีกด้วย ระหว่างที่ดื่มด่ำกับมื้ออาหารบนเคาน์เตอร์บาร์สีดำก็จะได้สัมผัสประสบการณ์ทานอาหาร พร้อมเพลิดเพลินไปกับการชมเบื้องหลังวิธีการสร้างสรรค์เมนูอาหารของทีมเชฟอย่างใกล้ชิด
Thai Local Dishes Inspire All Tasting Menus
หลากหลายเมนูในซีซั่นแรก ส่วนใหญ่แล้วเป็นอาหารไทยในความทรงจำ ที่เชฟน็อคและทีมได้หยิบเอาเมนูวัยเด็กจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งกลาง เหนือ อีสาน และใต้ มานำเสนอภายในคอร์ส โดยนำวัตถุดิบจากทั่วโลกมารังสรรค์เป็นเมนูอาหารที่ให้รสชาติแบบไทย ๆ ในแบบที่หลายคนคุ้นเคย เพียงแต่ปรับเปลี่ยนพรีเซนเทชันอาหารให้ดูทันสมัยในสไตล์ตะวันตก ทุกเมนูปรุงผ่านกรรมวิธีและเทคนิคการย่างด้วยเตาถ่านญี่ปุ่นและเตาสเปน ซึ่งด้านล่างจะเป็นการทำให้สุก ด้านบนเป็นการย่างแบบ Slow-Cooked ส่วนชั้นบนสุดจะเป็นการรมควัน เพื่อเป็นการชูรสชาติอาหาร เพิ่มกลิ่นสโมคหอม ๆ ตามอย่างการทำอาหารไทยที่นิยมใช้เตาถ่านในยุคสมัยก่อน เสริมประสบการณ์การทานอาหารในรูปแบบดั้งเดิมให้คนยุคปัจจุบันได้ลิ้มลอง
หลากหลายเมนูภายในคอร์ส ประกอบไปด้วย Chicken Liver : ตับหวาน amuse-bouche เรียกน้ำย่อยคำแรก ที่ทางร้านเลือกนำตับไก่มาทำเป็นมูส ปรุงด้วยรสชาติที่ให้กลิ่นอายของความเป็นอีสานอย่างชัดเจน
ตามมาด้วย Dry Aged Beef : ก้อยเนื้อ amuse-bouche คำที่ 2 โดยทางร้านได้เลือกใช้เนื้อสันนอกนำไปดรายเอจจนได้ที่ ก่อนปรุงรสชาติให้ออกมาในสไตล์อาหารไทยอีสาน-ญี่ปุ่น ได้รสชาติเข้มข้นแต่ไม่จัดจ้าน
ส่วน amuse-bouche คำที่ 3 คือ Smoky Tomato Mousse : แจ่วมะเขือ หรือเครื่องจิ้มของอาหารอีสานที่เชฟนำมาปรับรสชาติให้ทานได้ง่ายขึ้น ได้รสเปรี้ยวอมหวานของมูสมะเขือเทศและกลิ่นหอมของเครื่องสมุนไพร โดยเสิร์ฟแจ่วมาในลักษณะของการสอดไส้ภายในข้าวเกรียบที่สามารถหยิบทานทั้งชิ้นได้เลย
ต่อเนื่องความอร่อยกันที่คอร์สอาหารซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารใต้อย่าง Oysters : หอยนางรมซีฟู้ดกะทิ กับการนำหอยนางรมจากฝรั่งเศสมาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดที่ใส่กะทิ ช่วยเสริมรสละมุนยิ่งขึ้น แต่ยังคงความเปรี้ยว เค็ม และเผ็ด ตามสไตล์อาหารไทย ซึ่งทานเข้ากันเป็นอย่างดีกับหอยนางรมสดใหม่
เพิ่มดีกรีความเข้มข้นของรสชาติด้วยคอร์สเมนู Octopus : ปลาหมึกผัดฉ่า จานนี้พรีเซนต์ความอร่อยในลักษณะของ Warm Salad ที่เชฟนำปลาหมึกไป Slow-Cooked จนได้เนื้อสัมผัสที่มีความนุ่มหนึบ เคี้ยวง่าย ไม่เหนียวเหมือนปลาหมึกทั่วไป แถมยังได้รสชาติเข้มข้นครบเครื่องตามอย่างสไตล์ผัดฉ่าอีกด้วย
เอาใจคนรักการทานซุปกันบ้างด้วยคอร์สเมนู Seasonal Mushrooms : แกงเลียงเห็ด โดยแกงเลียงชามนี้เป็นการรวมสารพัดเห็ด ไม่ว่าจะเป็นเห็ดพอร์โทเบลโล เห็ดทรัฟเฟิล และอื่น ๆ อีกมากมายที่ต่อให้รสชาติกลาง ๆ ไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป ซดทานได้อย่างคล่องคอ
ต่อกันที่อีกหนึ่งเมนูแกงกับจานคอร์ส Pigeon : แกงหัวปลีนกพิราบ แกงโบราณหาทานยาก ที่เชฟเพิ่มความพิเศษด้วยการเลือกใช้เนื้อนกพิราบจากฝรั่งเศสที่บ่มนานถึง 7 วัน ก่อนนำไปย่างระดับความสุก Medium-Rare ให้ได้ความนุ่มชุ่มฉ่ำกำลังดี มีกลิ่นสโมคหอม ๆ พร้อมแกงหัวปลีที่เสิร์ฟเทราดมาแบบขลุกขลิก ได้รสชาติเข้มข้นกำลังดีทานเข้ากันกับเนื้อนกพิราบอย่างลงตัว
อิ่มอร่อยสุดฟินกับเนื้อนกพิราบอีกสักจานกับคอร์สเมนู Pigeon Leg : ไก่ย่างส้มตำ ที่เชฟเลือกใช้ขานกพิราบที่ได้จากคอร์สก่อนหน้ามาเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้แทนไก่ย่าง อาหารสตรีทฟู้ดยอดนิยมของคนไทย โดยขานกพิราบย่างถ่านจานนี้ถูกปรุงรสชาติมาอย่างดี หมักจนเข้าเนื้อ ได้กลิ่นอายของส้มตำในทุกอณู
เปลี่ยนบรรยากาศมาทานจานปลากันบ้างกับคอร์สเมนู Fish : ข้าวยำปลาย่าง โดยเลือกใช้เนื้อปลาเก๋ากุดสลาดที่บ่มนานถึง 7 วัน มาเสิร์ฟพร้อมกับข้าวยำสมุนไพร ปรุงรสด้วยปลาร้าหอม ๆ เวลาทานคลุกเคล้าให้เข้ากัน ให้สัมผัสกรอบนอกนุ่มในและความสดหวานของเนื้อปลา พร้อมได้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม หอมเครื่องสมุนไพรแบบเต็ม ๆ คำ
จากนั้นมาสัมผัสความนุ่มชุ่มฉ่ำ รสละมุนลิ้นกันต่อกับคอร์สเมนู Duck : แกงเผ็ดเป็ดย่าง ที่เชฟเลือกใช้เป็ดเนื้อแน่นจากฝรั่งเศส ราดด้วยน้ำซอสซึ่งมีส่วนผสมของสับปะรดและลิ้นจี่ที่นำไปพิวเร ปรุงรสด้วยเครื่องแกง ได้รสเข้มข้นกลมกล่อมแบบไม่จัดจ้านจนเกินไป
มาถึงจานไฮไลต์กับ Main Course อย่าง Beef (Main Course) : เกาเหลาเนื้อเอ็นตุ๋น เมนูสตรีทฟู้ดที่คนไทยหลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเชฟน็อคเลือกนำเสนอใหม่ในรูปแบบของสเต๊กเนื้อสันใน เสิร์ฟมาพร้อมกับซอสขลุกขลิกที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศและสมุนไพร ก่อนจะเหยาะพริกน้ำส้มเล็กน้อยเพื่อตัดเลี่ยน จานนี้ให้กลิ่นอายรสชาติเหมือนได้ทานซุปก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นร้อน ๆ กันเลยทีเดียว!
พักเบรคอาหารคาวสักเล็กน้อย ด้วยเมนูของหวานที่เหมาะสำหรับคลีนรสชาติอาหารในปากกับ Pre-Dessert : ซอร์เบท์โหระพาสับปะรดย่าง ไอศกรีมซอร์เบท์โหระพาที่ให้รสเปรี้ยวอมหวานของสับปะรดย่าง ทานแล้วสดชื่น
ปิดท้ายคอร์ส Tasting Menu ซีซั่นนี้กันด้วยเมนู Dessert : ปังปิ้งนมเย็น ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘นมเย็น’ หรือ ‘นมชมพู’ เครื่องดื่มสุดโปรดของเชฟน็อค โดยเชฟทางร้านใช้ขนมปังโชคุปังเนื้อนุ่มเหนียว นำไปย่างไฟให้ได้รสสัมผัสแบบกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมไอศกรีมนมเย็นรสหวานละมุนกำลังดี เป็นการจบคอร์สอาหารมื้อพิเศษนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สำหรับใครที่ชอบอาหารไทยเป็นทุนเดิม แต่อยากเพิ่มเติมประสบการณ์ทานอาหารในรูปแบบที่โมเดิร์นมากขึ้น ร้าน TAAHRA นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดี ๆ ที่เหล่าฟู้ดดี้สายไฟน์ไดน์นิ่งทั้งหลายต้องลอง!