Historic Legacy
ใครที่เดินทางบนถนนเส้นนี้บ่อยครั้ง คงจะคุ้นเคยกับ The House on Sathorn บ้านหลังใหญ่นี้กันอยู่บ้าง เดิมทีที่นี่ เป็นบ้านของหลวงสาทรราชายุกต์ ที่สร้างขึ้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 และยังเคยเป็นสถานทูตรัสเซียอีกด้วย ด้วยประวัติที่ยาวนานของตัวอาคาร ที่นี่จึงเป็นอาคารหนึ่งที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร ซึ่งที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม W Bangkok และเปิดต้อนรับทุกคนให้แวะมาพักผ่อนกันได้ สำหรับตัวบ้านสาทรหลังนี้สร้างขึ้นในสไตล์นีโอคลาสสิกที่ประกอบด้วยอาคารทั้งสี่ โดยยังคงรักษาแบบฉบับของอาคารแห่งนี้แต่มีการปรับโทนของสถานที่แห่งนี้ให้มีความร่วมสมัยขึ้นด้วยการออกแบบและตกแต่งจากฝีมือของทีมงานทาง AvroKO และ 56thStudio
The Dining Room มีจัดที่นั่งโซนเคาน์เตอร์ซึ่งติดกับครัวเปิดขนาดย่อมที่สามารถพูดคุยและดูภาพเหล่าเชฟจัดเตรียมอาหารกันได้ (The Dining Room เปิดบริการมื้อกลางวันตั้งแต่เวลา 12.00-14.30 น. และมื้อเย็น 18.00-22.30 น.)
ทางด้านขวามือของตัวบ้านเป็นส่วนของ The Bar ที่คุมโทนมาดขรึมของห้องด้วยโซฟาเบาะหนัง โต๊ะและเคาน์เตอร์หินอ่อนสีเข้ม เพิ่มลูกเล่นด้วยการประดับผนังด้วยแผ่น Metal Plate ที่มีผ้าแพรแถบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามชั้นยศต่าง ๆ หลากหลายสีสัน
หากเดินตรงเข้ามาจากประตูหน้าจนสุด จะพบกับโซน The Courtyard ซึ่งมีสวนร่มรื่นอยู่กลางบ้านคอยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับบ้านสาทรแห่งนี้ ใครที่ชอบนั่งสูดอากาศด้านนอก ก็สามารถสั่งดริ๊งก์แก้วโปรดมานั่งดื่มชิลล์ ๆ กันได้ที่นี่
Striking Meal from the Traveler
อาหารที่ต้อนรับแขกผู้แวะเวียนมาบ้านหลังนี้น่าสนใจไม่แพ้ตัวบ้าน เพราะได้ Chef Fatih Tutak เชฟชาวตุรกีผู้มีประสบการณ์ในร้านดังจากหลายประเทศ อาทิ The Bellbrook, Nihonryori Ryugin, Noma และยังเคยเป็น Executive Sous Chef ที่โรงแรม Marina Bay Sands ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยเมนูอาหารของที่นี่ เชฟได้ครีเอทแต่ละจานจากเรื่องราวการเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสนุกสนาน
เปิดมื้ออร่อยด้วย Pier 9 (1,950 บาท) กุ้งแม่น้ำไซส์ใหญ่ จัดเต็มทั้งเนื้อและมันกุ้งผสมกับเครื่องเทศรสคล้ายต้มยำมายัดไส้ส่วนหัวกุ้งก่อนนำไปย่างบนเตาถ่าน เสิร์ฟพร้อมเพียวเร่ฟักทองญี่ปุ่น
ต่อด้วย Deep & Shallow (680 บาท) ที่แต่งจานมาคล้ายกับทะเลและยังมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น โดยมีหอยแมลงภู่เสิร์ฟมาบนหมึกที่เชฟตั้งใจคงรสชาติจริงของวัตถุดิบจึงปรุงรสเบา ๆ ด้วยเกลือและพริกไทย มาพร้อมกับ Horshradish Snow และ Salty Fingers
Hunting (790 บาท) จานนี้เชฟได้แรงบันดาลใจจากการไปแคมป์ล่าเป็ด จึงทวิสต์ไอเดียนี้ด้วยการใช้เนื้ออกเป็ดย่างหนังกรอบนิด ๆ มาบนเพียวเร่ทับทิมและหัวหอมซอยเป็นเส้น แล้วโรยด้วยผงสีดำจากหัวหอมย่างจนไหม้แทนดินปืน
ปิดท้ายมื้อด้วยของหวานอย่าง On The Way to Silom (350 บาท) ที่เชฟนำกล้วยปิ้งแบบไทย ๆ มาเสิร์ฟในใบหัวปลีที่ท็อปด้วยชอสคาราเมลและเนยถั่ว ส่วนตัวหิมะสีขาวเป็นมูสกล้วยที่ผสมเข้ากับลิควิดไนโตรเจน
สำหรับเครื่องดื่มที่นี่ สามารถสั่งจากดริ๊งก์ลิสต์ของ The Bar มาดื่มคู่มื้ออาหารได้เช่นกัน ซึ่งได้คุณ Michele Montauti มาเป็นมิกโซโลจิสต์จาก J. Boroski Mixology มาประจำที่นี่ เราแนะนำดริ๊งก์ดื่มง่าย ๆ อย่าง The Garden (420 บาท) ที่มีจิน น้ำเก็กฮวย ชาคาโมมายล์และใบไธม์ ให้รสสดชื่น