From New York with Love
บนชั้น 5 ของ The Standard, Bangkok Mahanakhon โรงแรมไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในย่านช่องนนทรี ได้ต้อนรับThe Standard Grill ห้องอาหารสัญชาติอเมริกันสไตล์บราสเซอรี่ชื่อดังจาก New York ซึ่งเป็นร้านอาหารซิกเนเจอร์ของ The Standard มาเปิดที่กรุงเทพมหานครเป็นสาขาที่สอง
สำหรับสาขานี้ก็ยังคงถ่ายทอดเรื่องราวและไลฟ์สไตล์ของเมือง New York ผ่านหลากหลายเมนูอาหารที่ถูกผสมผสานระหว่างอาหารแบบสเต๊กเฮ้าส์ดั้งเดิม ร่วมกับอาหารสไตล์ New American ออกมาเป็นหลากหลายเมนูครบรส ชวนให้ชาวกรุงเทพฯ อยากเข้ามาลิ้มลอง
All Day Dining Space
ห้องอาหารแห่งนี้ถูกออกแบบและตกแต่งโดย Jamie Hayon ศิลปินชื่อดังชาวสเปน ที่ขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบอินทีเรียร์และเฟอร์นิเจอร์ด้วยรูปทรง ลวดลาย และสีสันที่เป็นเอกลักษณ์ ทำงานร่วมกับทีมดีไซเนอร์ของแบรนด์ The Standard โดยต้องการผสมผสานความคลาสสิกของแบรนด์ให้เข้ากับสไตล์ New York City และยังนำเหรียญเพนนีมาเรียงวางที่พื้น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์การตกแต่งของ The Standard Grill New York สร้างภาพจำให้กับใครที่แวะมาที่นี่ได้เป็นอย่างดี
ภายในร้านแบ่งออกเป็น The Grill Zone ที่เปิดให้บริการในช่วงมื้อกลางวันและมื้อค่ำ ตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่น เพิ่มความเก๋ด้วยรูปทรงโค้ง และ The Cafe Zone ที่ให้บริการตั้งแต่ช่วงมื้อเช้าจรดค่ำสำหรับแขกที่มาพักและลูกค้าภายนอก ในโซนนี้ทางร้านได้เลือกใช้สีเขียวมาเพิ่มชีวิตชีวา ตัดกับลวดลายตารางบนพื้นและผนังที่ทำให้ดูสะดุดตาตั้งแต่เดินเข้ามา ทั้งยังมีโซนเอาต์ดอร์ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หวายให้มู้ดสบาย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันร่มรื่นรายล้อมไปด้วยต้นไม้ รวมถึงมุมบาร์เครื่องดื่มที่พร้อมเสิร์ฟทั้งค็อกเทลและไวน์หลากหลายชนิดพร้อมให้ได้อิ่มเอมกันทั้งวัน
Traditional American steakhouse with a freshness of regional flavors
สำหรับเมนูอาหารของที่นี่ ยังคงคอนเซ็ปต์หลักเช่นเดียวกับสาขาที่นิวยอร์ก นำเสนอเมนูที่มีการผสมผสานระหว่างเมนูแบบสเต๊กเฮ้าส์ดั้งเดิมเข้ากับเมนูอาหารสไตล์อเมริกันสไตล์ใหม่ เพิ่มเติมด้วยวัตถุดิบชั้นดีที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับสาขาแรก
ในครั้งนี้ทางร้านแนะนำหลากหลายเมนูซิกเนเจอร์ เริ่มจากเมนู Appetizer อย่าง Hiramasa Yellow Tail (590 บาท) สลัดเนื้อปลาฮิรามาสะดิบ แล่บาง ท็อปหน้าด้วยเดรสซิ่งมะม่วงและอะโวคาโด เพิ่มรสชาติด้วย ซอส Horseradish รสเปรี้ยวอมหวานจากมะม่วงเข้ากับเนื้อปลานุ่ม ๆ ได้เป็นอย่างดี
ตามด้วย Tiger Prawn Cocktail (550 บาท) เนื้อกุ้งลายเสือย่าง เสิร์ฟมาคู่กับผักกาดแก้วสดกรอบ และซอสค็อกเทล เพิ่มด้วยขนมปังอบกรอบ ก่อนทานแนะนำให้บีบเลมอนลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
รองท้องกันต่อด้วยจาน Hot Appetizer เริ่มจาก Charcoal Oven Roasted Snails (550 บาท) หอยทากอบกับถ่านชาร์โคล คลุกเคล้าด้วยไส้กรอก Chorizo, Artichokes และ Confit Garlic เพิ่มรสเผ็ดร้อนด้วย Parprika ทานคู่กับขนมปังอบกรอบ เนื้อหอยทากหนึบกำลังดี ทานได้เพลิน ๆ
มาถึง Roast Jerusalem Artichoke Soup (350 บาท) ซุปเนื้อเนียนที่มีส่วนผสมหลักอย่าง Jerusalem Artichoke เพิ่มความครีมมี่ด้วย Brown Butter และอัลมอนด์ ซุปมีรสชาติกลมกล่อมกำลังดี เหมาะทานให้อุ่นท้องก่อนเริ่มจานหลัก
มาถึงจานสเต๊กของทางร้าน สำหรับใครที่ชอบทานเนื้อ ทางร้านนำเสนอ Jacks Creek Black Angus Grain fed Tenderloin ( 1,300 บาท สำหรับ 150 กรัม และ 2,500 บาท สำหรับ 300 กรัม) เนื้อส่วนสันในส่งตรงจากออสเตรเลีย ย่างมาแบบ Medium Rare ให้เนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำกำลังดี ส่วนใครที่ไม่ทานเนื้อ ลองสั่ง Kurobuta Pork Chop (750 บาท) พอร์คช็อปเนื้อหมูคุโรบุตะเนื้อนุ่ม เสิร์ฟคู่กับซอส Brandy Orange Jus และ Rotisserie Celeriac
นอกจากเมนูไฮไลต์อย่างจานสเต๊กแล้ว ที่นี่ยังมีบรรดาเครื่องเคียงให้เลือกสั่งมาทานคู่กัน ไม่ว่าจะเป็น Mixed Leaves (220 บาท) สลัดผักสดหลากชนิด Charcoal - grilled Fennel (220 บาท) เฟนเนลย่างกับถ่านชาร์โคล Creamed English Spinach (220 บาท) ผักโขมอบกับซอสครีมสไตล์อังกฤษ และ Potato Millefeuille (240 บาท) เนื้อมันฝรั่งสไลด์บางเลเยอร์เป็นชั้น ๆ เหมือนกับขนมมิลเฟยของฝรั่งเศส
ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยเมนูขนมหวาน Chocolate Texture (220 บาท) เนื้อมูสช็อกโกแลตรสเข้มข้น โรยหน้าด้วยผงช็อกโกแลต และ Pavlova (190 บาท) ขนมหวานสุดคลาสสิก ด้านบนเป็นเมอแรงก์กรอบ ด้านล่างเป็นไอศกรีมวานิลลาเนื้อเนียน ตัดรสชาติด้วยสตรอเบอร์รีสด และซอสสตรอเบอร์รีรสเปรี้ยว