Cooking From The Heart
หลังจากคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงทำอาหาร ทั้งรูปแบบร้านอาหารและโรงแรมเชนชื่อดังมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี เชฟปุ๊ก Sous Chef สุดเท่ผู้รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ จึงสานฝันนำแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ตนรักและถนัดมาสร้างสรรค์เป็นเมนูฟิวชั่นสุดพิเศษ พร้อมเสิร์ฟในสไตล์ Chef’s Table ที่ Vi. and Chef ร้านอาหารลูกผสมระหว่าง Fine Dining กับ Bistro ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าคอนโดมิเนียมในบรรยากาศสบาย ๆ ร่วมพูดคุยกับเชฟอย่างเป็นกันเอง ราวกับได้มาทานอาหารบ้านเพื่อนที่เป็นเชฟเลยทีเดียว
‘Viand ในภาษาฝรั่งเศส หมายถึง อาหาร ทางร้านต้องการนำเสนอเรื่องราวความน่าสนใจของอาหารผ่านความรัก ความหลงใหลในการทำอาหารของคน ๆ หนึ่ง จึงกลายเป็นชื่อร้าน Vi.and Chef ที่สื่อถึงเรื่องของอาหาร และเชฟผู้มี Passion ในการทำอาหารอย่างตรงตัว’
Chef’s Table Dining Experience
ภายในร้านมาในมู้ดแอนด์โทนเข้มสีดำ-ส้มนีออนที่ช่วยเสริมบรรยากาศการทานอาหารค่ำให้ดูมีสีสันมากขึ้น ตัวร้านมีขนาดกะทัดรัดแต่โปร่งโล่งด้วยกระจกใสที่ล้อมรอบบริเวณร้าน เผยให้เห็นบรรยากาศด้านในและวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจน มีเชฟคอยครีเอทแต่ละเมนูให้เห็นกันตรงหน้า
ระหว่างที่รออาหารเสิร์ฟนั้นก็สามารถพูดคุยกับเชฟได้อย่างเป็นกันเอง ซึ่งโดยปกติแล้วทุกครั้งที่เสิร์ฟเชฟจะคอยอธิบายถึงวัตถุดิบ วิธีการปรุงอาหารแต่ละจานให้ผู้ทานทราบ ขณะเดียวกันผู้ทานเองก็สามารถสอบถามถึงเทคนิคในการปรุงอาหารแต่ละจานได้ด้วยเช่นกัน นับเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของ Vi. and Chef ที่มอบความ Exclusive ให้กับแขกคนพิเศษเพียง 8 คน 8 ที่นั่งที่ทำการจองล่วงหน้า (อย่างน้อย 5 วัน) เท่านั้น
6-Course Dinner
ทุกเมนูของที่นี่จะเสิร์ฟแบบเป็นคอร์ส โดยจะเปลี่ยนไปในแต่ละสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบใหม่ ๆ ที่ Vi. and Chef ภูมิใจนำเสนอ แต่หากอยากทานเมนูไหนเป็นพิเศษก็สามารถติดตามเพิ่มเติมทาง Instagram หรือแฟนเพจของร้านได้ แต่ละคอร์สมีทั้งหมด 6 เมนูด้วยกัน ไล่เรียงตั้งแต่ Appetizer ไปจนถึง Main Course แต่ละจานล้วนผ่านการคัดสรรวัตถุดิบมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพืชผักออร์แกนิกที่ทางร้านปลูกและนำมาใช้ในเมนูต่าง ๆ ซึ่งคอร์สอาหารที่ว่านี้คิดราคาคอร์สละ 2,800 บาทต่อคน เสิร์ฟพร้อมเครื่องดื่มประเภทไวน์ สปาร์คกลิง และอื่น ๆ อีกมากมายตามความชอบของผู้ทาน
สำหรับเมนูที่ทางเชฟแนะนำ เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วย Scallop & Orange หอยเชลล์หั่นสไลซ์บาง ๆ ราดด้วยน้ำซอสที่มีส่วนผสมของขิง น้ำมะนาว และน้ำส้มคั้น ทานคู่กับแตงกวาที่นำไป Compress ในน้ำส้มสายชู แล้วโรยหน้าด้วยพริกสด และเมล็ดทับทิม เพื่อตัดรสชาติให้ได้ความเปรี้ยว หวาน เผ็ด ครบรส เรียกความสดชื่นแบบถูกปากคนไทย
ตามมาด้วย Bangkok Bisque ครีมซุปกุ้งแม่น้ำรสเข้มข้นที่ใช้กุ้งแม่น้ำทั้งตัวเคี่ยวเป็นเวลานานถึง 4 ชั่วโมง จนได้ซุปข้นหวานมัน เสิร์ฟพร้อมครีมมะกรูดที่นำส่วนผิวของมะกรูดมาอยู่ในรูปของโฟม เวลาทานให้คลุกเคล้าส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ได้รสชาติคล้ายกับการทานต้มยำ เพียงแต่เข้มข้นกว่า ครีมซุปนุ่มละมุน และให้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อน ๆ ของโฟมมะกรูดที่เทราดลงบนตัวซุป
ก่อนจะเอาใจคนชอบทานกุ้งเป็นพิเศษด้วย Passion Prawn กุ้งแม่น้ำราดซอสเสาวรส เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่นำผลเสาวรสสดมาเคี่ยวกับน้ำตาลโตนดจนได้ความเปรี้ยวหวานมันครบรส ตัดกับรสขมของสะเดา รสเผ็ดของพริกแห้ง และความหอมของหอมเจียวที่ใช้โรยหน้าตัวซอส จานนี้เสิร์ฟมาพร้อมหมี่กรอบ ทานแล้วให้รสชาติคล้ายกันกับสะเดาน้ำปลาหวานเลยทีเดียว
หากใครที่ชอบทานปลาต้องลอง Melting Seabass ปลากะพงเนื้อนุ่มชิ้นโตส่งตรงจากภาคใต้ที่นำไปหมักกับไวน์ขาวผสมผสานเข้ากับซอสสูตรพิเศษที่มีส่วนผสมของตะไคร้และโฟมกะทิให้กลิ่นหอมสมุนไพรอ่อน ๆ ชูรสชาติเนื้อปลาให้มีรสละมุนมากขึ้น ทานเข้ากันดีกับกุยช่ายขาวที่เสิร์ฟมาพร้อมภายในจานเดียวกัน
หรืออิ่มท้องขึ้นอีกนิดกับเมนู Smoked Duck อกเป็ดย่างที่นำมารมควันกับอ้อย จนได้เนื้อเป็ดที่มีสวยน่าทาน สุกแบบเท่าเทียมกันทั้งชิ้น ราดด้วยซอสเบอร์รี่ที่นำไปเคี่ยวกับบีทรูทจนได้รสเข้มข้น เสิร์ฟทานคู่กับเห็ดผัดเนย และลูกพีชสดจากโครงการหลวง
จากนั้นปิดท้ายความอร่อยของมื้อด้วยสุดยอด Main Course อย่าง 24hour Brasied Short-Rib สเต๊กเนื้อจากออสเตรเลียที่นำมาบ่มในไวน์แดงเป็นเวลานานถึง 24 ชั่วโมงเพื่อให้ได้เนื้อนุ่ม ๆ ก่อนจะนำเนื้อไป Sous vide กับกาแฟให้ได้กลิ่นหอมกรุ่น แล้วราดตามด้วยซอสสูตรพิเศษที่ใช้ไวน์แดงเคี่ยวผสมตะไคร้รสเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมฟักทองบดเนื้อเนียนละเอียดที่ให้รสหวานมันเข้ากันอย่างลงตัว
