The Final Season
นับว่าเป็นอีกหนึ่งในร้านอาหารสไตล์ Fine Dining ที่ยังคงโดดเด่นในเรื่องของบรรยากาศแสนโรแมนติกจริง ๆ สำหรับ วังหิ่งห้อย ซึ่งอบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์และความสุนทรีย์ของธรรมชาติที่มาเสริมสร้างบรรยากาศความรื่นรมย์ตลอดการทานอาหารอย่างใกล้ชิดเช่นเดิม โดยฤดูกาลครั้งล่าสุดนี้ มาพร้อมอาหารจานพิเศษ ที่รังสรรค์ขึ้นโดย เชฟนิค-ณัฐพล ภวไพบูลย์, เชฟอ๊อฟ-ณัฐวุฒิ ธรรมพันธ์ และ เชฟอ้น-สุวิจักขณ์ แก้วสิริมงคล โดยทางทีมเชฟได้เลือกใช้เฉพาะวัตถุดิบออร์แกนิกจากท้องถิ่นของไทย ผ่านรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์เข้าไว้ในแต่ละจานอย่างมีเอกลักษณ์ ตามการเสิร์ฟแบบสากล
ด้วยแนวคิดที่ต้องการผสานความเป็นเมืองเข้ากับธรรมชาติอย่างแยบยล วังหิ่งห้อยถูกสร้างขึ้นให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของชาวเมือง บรรยากาศด้านในจึงเน้นความหรูหราที่โอบล้อมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ที่ถูกดูแลอย่างตั้งใจให้เป็นสวนหย่อม สามารถมองผ่านกระจกบานใหญ่ที่ส่วนกลางของร้าน ทำให้ดูคล้ายตู้ปลาที่เต็มไปด้วยระบบนิเวศน์อันสมบูรณ์ ส่วนไฮไลต์อยู่ตรงที่ในยามค่ำคืนคุณสามารถชมแสงสวย ๆ ของหิ่งห้อยได้อย่างเต็มตา
The Firefly Moment
ในส่วนของการออกแบบและตกแต่งร้าน ที่นี่ยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็น Installation Art ที่มีการปรับเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ ธีมใหม่ในทุก ๆ Season รวมไปถึงธีมสุดท้ายอย่าง ธีม Life โดยทีมออกแบบจาก "FOS Lighting Design" ได้ถ่ายทอดความหมายวงจรชีวิตของหิ่งห้อยและมนุษย์ผ่านกาลเวลา ร้อยเรียงผ่าน Installation Art วัสดุเชือกที่ถูกครีเอตให้ห้อยลงมาจากกำแพงดิน เพื่อสะท้อนลักษณะใต้ท้องของหิ่งห้อย ที่ส่องแสงเปล่งประกายระยิบระยับในยามค่ำคืน โดยสีของไฟจะเปลี่ยนไปตามเวลาที่นับถอยหลัง พร้อมอำลาร้านวังหิ่งห้อยแห่งนี้นั่นเอง
เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้เห็น "หิ่งห้อยนับร้อย" ใจกลางเมือง พร้อมเปิดประสบการณ์การทานอาหารไทยแนวใหม่ ซึ่งพาทุกท่านดำดิ่งสู่รสชาติที่แปลกใหม่ในค่ำคืนอันน่าอัศจรรย์ ทำให้ "วังหิ่งห้อย" เป็นที่น่าจดจำตลอดไป
From Four Elements to Life Set Menu
หลังประสบความสำเร็จจากการนำเสนออาหารผ่านคอนเซ็ปต์ 'ธาตุแห่งชีวิต' ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดระยะเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา (เท่ากับวงจรชีวิตของหิ่งห้อย) อย่างสวยงาม ครั้งนี้วังหิ่งห้อยจึงชวนคุณมาอำลาประสบการณ์การทานอาหารมื้อค่ำสุดประทับใจในแบบที่ไม่เหมือนใครอีกครั้งด้วย Life Set Menu (3,290 ++ บาท) คอร์สอาหารค่ำที่รังสรรค์ความอร่อยผ่านหลากหลายเมนูสุดพิเศษ
เริ่มต้นกันในส่วนของ Amuse Bouche ที่ทางร้านเลือกนำเสนอ 'Four Elements' เมนูเรียกน้ำย่อยจานแรก ที่มีการรวบรวมการเดินทางตั้งแต่ธีม 'ดิน น้ำ ลม ไฟ' มาเสิร์ฟพร้อมกันให้ได้เปิดสัมผัสการรับรส ก่อนพบกับความอร่อยของจานอื่น ๆ ในธีม 'Life' ลำดับต่อไป คำแรกคือ เมี่ยงกลีบบัวหลวง ตัวแทนธาตุดิน, มันน้ำพริกอ่อง ตัวแทนธาตุน้ำ, ยำไข่มดแดงใบชะมวง ตัวแทนธาตุลม และ มัสตาร์ดซี้ดดองรองด้วยแผ่นปาปาดัม เสริ์ฟพร้อมน้ำขิงด้านบนเป็นเบคอนโฟม ตัวแทนธาตุไฟนั่นเอง
มาถึงเมนูจานถัดมา Pupa เป็นอีกหนึ่งจานที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอภายใต้คอนเซ็ปต์ของ “ดักแด้” ที่แฝงความหมายของการเริ่มต้นใหม่ เมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากขนมจีบไส้หมูที่ผสานความอร่อยเข้ากับน้ำซุปบะกุ๊ดเต๋พันด้วยฟองเต้าหู้ ก่อนจะห่อด้วยทองคำเปลวอีกครั้งให้ดูเลอค่า เสริมสร้างกิมมิกจานนี้ให้ดูน่าทานมากขึ้น
ในส่วนของ Appetizer ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน อย่างเมนู Ride the Wave ที่เสิร์ฟหอยนางรมตัวโต อบมาร้อน ๆ มาพร้อมกับปลาหมึกและหอยเชลล์ ก่อนจะท็อปบนด้วยไข่ปลาเทราต์ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ๆ ของชีสหลากชนิด หรือจะเลือกลิ้มลอง Honey Trap รังผึ้งสดใหม่ที่ราดด้วยเหล้าหมาใจดำจากเชียงใหม่, Habitat สะเต๊ะที่เสิร์ฟมาในรูปแบบซี่โครง หนึ่งในเมนูไฮไลต์ของ Season ที่ผ่านมาก็เป็นอีกหลายตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
สำหรับจานสลัดก็พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนู Firework สลัดผลไม้สดที่มาพร้อมน้ำสลัดสีสันสดใสสูตรลับของวังหิ่งห้อย ตามมาด้วยไฮไลต์เมนูซุปที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจนพัฒนามาเป็นเมนู Muddy Lake ซุปต้มยำกุ้งรสเข้มข้นกลมกล่อม ที่เชฟผสานวัตถุดิบชั้นดีจนได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มาพร้อมกุ้งลายเสือตัวโต มะเขือเทศเชอร์รี และท็อปด้วยฟองนม
Main Dishes of The Last Season
ทางด้านจานหลักมีให้เลือกทานถึง 4 เมนู ได้แก่ Red Cliff หรือแกงเผ็ดเป็ดย่างที่เชฟนำเสนอในรูปแบบของ Fine Dining ผ่านการใช้เทคนิค Slow Cooked แบบฝรั่งเศสนานถึง 18 ชั่วโมง เพื่อให้ได้เนื้อเป็ดที่นุ่มชุ่มฉ่ำ แต่ในขณะเดียวกันยังคงรสชาติสไตล์ไทย ๆ แบบดั้งเดิมเอาไว้เช่นเดิม นอกจากนี้ ยังมีเมนู Lavagyu (+600 บาท) เนื้อวากิวกับซอสสูตรเฉพาะของวังหิ่งห้อย หรือจะเป็น Life (+1,200 บาท) กุ้งแม่น้ำตัวโตที่มาพร้อมกับซอสมะขามที่มาเพิ่มรสชาติให้จานนี้มีความเข้มข้นมากขึ้น
ปิดท้ายด้วยเมนูของหวานหน้าตาน่ารักน่าทาน ที่ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีอย่าง Fallen Angel ลอดช่องน้ำกะทิผสานกับใบเตยสด มาพร้อมกับ Melon Mousse แถมยังเป็นเมนูที่ทางร้านได้รับรางวัล A.A. Taste Award 3 ดาว ในปีที่ผ่านมาในด้านความคิดสร้างสรรค์และเลือกใช้วัตถุดิบเป็นออแกนิกปราศจากสิ่งเจือปน
แม้ว่าวังหิ่งห้อยจะปิดตัวลงไปพร้อมกับคอนเซปต์การชมหิ่งห้อยสุดอลังการในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้แล้ว แต่วังหิ่งห้อยจะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่กับ Pop Up Project พร้อมชวนคุณเปิดประสบการณ์สุดประทับใจไม่รู้ลืม สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและรายละเอียดได้ที่ www.instagram.com/wanghinghoi