Carnivorous Rendezvous
สำหรับใครที่ชอบทานเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ แนะนำให้มาเปิดประสบการณ์ทานเนื้อแนวใหม่ที่ Wild & Co. ร้านอาหารป่าที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ที่มีคอนเซ็ปต์โดดเด่นด้วยการนำ Game Meat หรือเนื้อประเภทที่อยู่ในเกมล่าสัตว์มาปรุงเป็นเมนูสูตรพิเศษ
Music Addict
ก่อนที่จะเป็น Wild & Co. พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นสตูดิโออัดเสียง Stu-fé มาก่อน และเมื่อรีโนเวทใหม่มาเป็นร้านอาหาร ก็ยังไม่ได้ทิ้งความชอบในดนตรี เพราะที่นี่มีดนตรีทุกแนวให้ฟัง เปิดโอกาสให้ศิลปินรุ่นเก่าและหน้าใหม่ให้มีอิสระในการนำเสนอผลงานได้อย่างเต็มที่ ในส่วนของดนตรีสด วันพุธมี Supergoods (Soul Bar) วันพฤหัส ฯ Stoic (Loyshy) และวันอาทิตย์ MotherFunky (Soul Bar) และ DJ Nanziee และยังมีดีเจมาร่วมสร้างบรรยากาศ Gone Wild เปิดแผ่นไวนิลให้ได้ฟังกันสด ๆ อีกด้วย
คุณพีท หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านเล่าให้ฟังว่าอยากให้ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์ เข้ามาเพื่อผ่อนคลายและได้อะไรดี ๆ กลับไป ส่วนคุณแจ๊ค หุ้นส่วนอีกท่านหนึ่งพูดถึงที่มาของชื่อร้านว่าเป็นการรวมตัวกัน (Co.) ของคนที่ไม่อยู่ในกรอบ มีความหลุดในแต่ละแขนง (Wild)
Wild Hunting Atmosphere
ด้วยความท่ีเน้นอาหารที่ใช้ Game Meat เป็นวัตถุดิบหลักทำให้รูปแบบของร้านมีความดิบและเป็นป่าอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์สตัฟฟ์ต่าง ๆ ที่วางตกแต่งและแขวนทั่วร้าน เก้าอี้ที่รองด้วยผืนผนังสัตว์ หรือจะเป็นการตกแต่งโทนสีเข้มแซมด้วยพืชใบเขียวก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนั่งทานอาหารกลางป่า มีทั้งโซนเอาท์ดอร์ที่เหมาะสำหรับนั่งรับลมสบาย ๆ และค่อนข้างเป็นส่วนตัว ถัดเข้ามาเป็นโซน Glasshouse โซนสุดท้ายของร้าน เรือนกระจกที่โดดเด่นด้วยหัวกวางกูดู (Kudu) และ The Black Cabin ค็อกเทลบาร์และโต๊ะยาว บรรยากาศค่อนข้างมืด เหมาะสำหรับมานั่งจิบค็อกเทลและฟังดีเจเปิดแผ่นรวมถึงดนตรีสด
Game Meat & Wild Dining Experience
สำหรับอาหารของที่นี่ จะเน้นเสิร์ฟเนื้อวัวและเนื้อสัตว์ป่า Game Meat เป็นหลัก เกิดจากความคิดที่อยากใช้วัตถุดิบในประเทศให้มากที่สุดและต้องการแสดงให้เห็นว่าวัตถุดิบไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ทางร้านจึงนำมาครีเอทเป็นเมนูทานง่าย ไม่มีขั้นตอนการทานยุ่งยาก โดยได้ เชฟโม ที่เคยอยู่ที่อเมริกาและมีประสบการณ์ด้านอาหารมากว่าสิบปี และยังเป็นเจ้าของ Munchies for Munchies ที่ดังเรื่องไส้กรอกและเนื้อรมควันต่าง ๆ อีกด้วย มาเริ่มต้นด้วยเมนูสลัดเบา ๆ อย่าง Quail Salad (390 บาท) สลัดผักสดหลายชนิดราดซอสบัลซามิก ทานกับนกกระทา มีความโดดเด่นด้วยใบโหระพาและมัลเบอร์รี่จากภาคเหนือเป็นส่วนประกอบเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม
Bone Marrow (450 บาท) ไขกระดูกอบสมุนไพร รสมันและเค็มอ่อน ๆ ทาขนมปังกรอบและยอดใบมะกอกอ่อน
อีกหนึ่งเมนูที่มีความแปลกใหม่ Rabbit Sausage (650 บาท) ไส้กรอกเนื้อกระต่ายฝรั่งเศสโฮมเมดพันเบคอนราด Goulash Sauce คลุกเคล้าสมุนไพรหอม ทานพร้อมผักย่างและถั่วลันเตา
เปิดประสบการณ์ใหม่ กับ Crocodile Meat (350 บาท) เนื้อจระเข้หมักผงกะหรี่ มาซาลา และรากผักชี จากนั้นนำไปย่าง เสิร์ฟพร้อมพริกพริกแดง หอมแดง และข้าวคั่ว ตัวเนื้อให้สัมผัสที่นุ่มคล้ายไก่ แนะนำให้บีบเลมอนเล็กน้อยและจิ้มพริกน้ำปลาเพื่อเพิ่มรสชาติ
Let's Get Wild!
ใครที่ชอบทานเนื้อ ลองสั่งเมนูซิกเนเจอร์ Smoked Beef Ribs (2,490 บาท) ซี่โครงเนื้อสกลนคร รมควันไม้ Hickory จนหอม รสสัมผัสนุ่มลิ้น ทานคู่กับแป้งตอติญ่า ผักดอง และโคลสลอว์
The Black Cabin
หลังจากอิ่มจากอาหารแล้ว มาต่อที่ The Black Cabin อีกหนึ่งจุดเด่นของร้าน โดยทางร้านยังมีกฏพิเศษ ทุกครั้งเมื่อเสียงกระดิ่ง The Wild Bell ที่แขวนกลางร้านดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ในโซนนี้จะต้องพร้อมใจกันดื่มวิสกี้คนละช็อต โดยผู้สั่นกระดิ่งจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเอง สำหรับเบียร์ที่ร้านจะมีเฉพาะเบียร์สัญชาติไทย
Spirits of the Wild
ทางร้านมีค็อกเทล 3 ประเภท คือ Spirit Forward ที่เน้นเหล้าล้วนเป็นส่วนผสม Classic Sour ค็อกเทลรสเปรี้ยวนำ ใช้ส่วนผสมไม่มาก และ Refreshing ค็อกเทลที่มีคาร์บอเนตเป็นส่วนผสม เริ่มต้นที่เมนูพื้นฐาน Gin Tonic (200 บาท) ที่ร้านจะเสิร์ฟแบบ Kristall Wild & Co. Perfect Serve รสนุ่มละมุน
หรือจะลอง Wild Men (320 บาท) ค็อกเทลซิกเนเจอร์ตัวนี้มีไอริชวิสกี้เป็นเบส ผสมกับเหล้าหวานกลิ่นส้ม ให้รสค่อนข้างเข้มและแรง หอมกลิ่นเลมอน เหมาะสำหรับคุณผู้ชาย