The Exclusive Dining Experience from South Korea
ชวนสัมผัสประสบการณ์ทานอาหารเกาหลีสไตล์ปิ้งย่างสุดเอ็กซ์คลูซีฟในบรรยากาศเป็นส่วนตัวที่ WOO TENDER ร้านเนื้อย่างเกาหลีเกรดพรีเมียมชื่อดังจากย่านกังนัม กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเปิดให้บริการแฟรนไชส์เป็นแห่งแรกในไทยกับโลเคชันใจกลางเมืองภายในซอยร่วมฤดี พร้อมเสิร์ฟความอร่อยแบบจัดเต็มทั้งเมนูเนื้อย่างพรีเมียมส่วนต่าง ๆ อย่าง Chateaubriand, Ribeye, Marinate Beef Rib ที่ได้เชฟชาวเกาหลีมารังสรรค์ความอร่อยถึงที่เพื่อให้ได้รสชาติตรงปกตามแบบออริจินัล
Better Beef for Beef Lovers
จากความชอบทานเนื้อและชื่นชอบวัฒนธรรมการกินอยู่ของชาวเกาหลีใต้เป็นการส่วนตัวของ คุณศิตา ชุติภาวรกานต์ ผู้เป็นเจ้าของร้าน WOO TENDER สาขาในไทยแห่งนี้ ซึ่งเธอนั้นมักเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศเกาหลีใต้อยู่บ่อยครั้ง และเมื่อมีโอกาสได้ไปเยือนร้าน WOO TENDER สาขาแรกที่ย่านกังนัม สัมผัสความอร่อยของเนื้อย่างระดับพรีเมียมในสไตล์ จึงเกิดความประทับใจในรสชาติอาหาร บรรยากาศการนั่งทานที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว พร้อมผุดไอเดียในการนำร้านอาหารนี้กลับมาเปิดในไทย เพื่อให้เหล่าฟู้ดดี้ชาวไทย (สายเนื้อตัวจริง) ได้ลิ้มลองรสชาติเนื้อพรีเมียมในแบบต้นตำรับของชาวเกาหลีใต้ดูบ้าง ซึ่งเป็นการเปิดประสบการณ์การทานปิ้งย่างอาหารเกาหลีในแบบพรีเมียมที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับเมืองไทยเลยทีเดียว
Enjoy Your Meal in a Private Room
สำหรับ WOO TENDER สาขาแรกในไทย ทางร้านได้เลือกนำเอาบรรยากาศการรับประทานอาหารของผู้คนที่นั่น รวมถึงวัฒนธรรมการกินแบบสไตล์เกาหลีจริง ๆ มาถ่ายทอดไว้ภายในร้านแห่งนี้ทั้งหมด โดยบรรยากาศการตกแต่งร้านจะเน้นเป็นธีมสีเขียว-ทองเรียบหรู ตามแบบออริจินัลของทางเกาหลี รวมถึงดึงเอา vibes ความเป็นส่วนตัวของที่นั่นมารวมไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับการปรับตัวในช่วงยุคสถานการณ์โควิด ซึ่งกลายมาเป็นข้อดีที่ช่วยสร้างประสบการณ์การทานปิ้งย่างรูปแบบใหม่ ๆ ให้กับคนไทย เข้ากับไลฟ์สไตล์ New Normal ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์เป็นห้องรับประทานอาหารแบบห้องกว้างแบบมี Partition เชื่อมต่อกัน ที่สามารถรองรับผู้เข้ามาทานแบบกลุ่มใหญ่ ๆ ได้จำนวนมากถึง 10 กว่าคน (ในระหว่างรับประทานอาหาร สามารถปรับเป็นห้องไพรเวทและปรับเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกันในกรณีเพิ่มจำนวนคนได้อย่างสะดวกสบายด้วยม่านกั้นแบ่งโซนสุดส่วนตัวได้ตามต้องการ)
ยิ่งไปกว่านั้นทางร้านยังเพิ่มความไพรเวทและความพรีเมียมมากขึ้นอีกขั้น ด้วยคอนเซ็ปต์การแต่งร้านแบบ Safe House โดยออกแบบให้มีลักษณะเหมือนตู้เซฟธนาคารบริเวณด้านหน้าทางเข้า โดยมีพนักงานร้านเป็นผู้คอยให้บริการ เพื่อเสริมกิมมิกพร้อมมอบความรู้สึกที่แตกต่าง พรีเซนต์ความพรีเมียมได้อย่างมีระดับราวกับเป็นห้องลับที่นำทางไปพบกับมื้ออาหารสุดพิเศษ อีกนัยหนึ่งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศความเป็นเมืองจากด้านนอกให้กลายเป็นพื้นที่รับประทานอาหารที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ๆ และเป็นส่วนตัว เหมือนเป็น Safe House สำหรับทุกคน
ห้องรับประทานอาหารของทางร้าน เปิดให้บริการทั้งหมด 6 ห้อง รวมห้องโอมากาเสะขนาดใหญ่ จำนวน 1 ห้อง (สำหรับห้องโอมากาเสะเนื้อ ที่เสิร์ฟความอร่อยในรูปแบบคอร์สนั้น ทางร้านจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในต้นปี 2566)
Korean Premium Beef and More
หลากหลายเมนูเนื้อย่างพรีเมียมและอาหารเกาหลีของทาง WOO TENDER รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟชาวเกาหลีมากฝีมือ รวมถึงทางร้านนั้นยังได้มีการส่งทีมเชฟชาวไทยไปเรียนรู้วิธีการกริลล์ตามแบบต้นตำรับถึงประเทศเกาหลีใต้อีกด้วย ซึ่งการมาทานอาหารที่ร้าน จะมีทีมเชฟคอยให้บริการถึงที่โต๊ะ เป็นผู้กริลล์เนื้อให้ตลอดมื้ออาหาร
สายเนื้อทั้งหลายจะได้อร่อยฟินไปกับเมนูเนื้อย่างพรีเมียมส่วนต่าง ๆ ที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นอย่างดี ทั้ง Chateaubriand, Ribeye, Marinate Beef Rib และอื่น ๆ อีกมากมาย (ราคาเริ่มต้นที่หลักร้อยถึงหลักพัน โดยราคาของแต่ละเมนูนั้นจะขึ้นอยู่กับความพรีเมียมของวัตถุดิบที่เลือกใช้ แต่ยังคงอยู่ในเรทราคาที่เหล่าฟู้ดดี้สายเนื้อเอื้อมถึง) โดยเนื้อเกรดพรีเมียมของทางเกาหลีนั้นจะไม่ติดมัน ทานแล้วไม่เลี่ยนจนเกินไป ให้รสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำ ส่วนเมนูเครื่องเคียงที่มาเสริมทัพความอร่อย ส่วนใหญ่แล้วจะปรุงออกมาในแบบฉบับโฮมเมดและให้รสชาติออริจินัลของทางเกาหลีทั้งสิ้น ที่สำคัญมีให้เลือกเติมความอร่อยเต็มอิ่มแบบไม่อั้นตลอดมื้ออาหารอีกด้วย
ประเดิมความอร่อยเรียกน้ำย่อยกันด้วยหมวดเครื่องเคียงอย่าง ‘Ubi’ Woo Tender Special Uni & Caviar (5 ชิ้น 2,000 บาท) เนื้อดิบที่ท็อปลงบนสาหร่ายและแผ่นแป้ง โรยหน้าด้วยอูนิ (ไข่หอยเม่น) และคาเวียร์ เป็นเมนูซิกเนเจอร์สุดพิเศษประจำร้านที่ไม่ว่าใครแวะมาทานอาหารที่ WOO TENDER ต้องสั่งมาลิ้มลอง
ตามมาด้วย Woo Tender Beef Tartar (1,390 บาท) เนื้อทาร์ทาร์ อีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน ความพิเศษอยู่ที่การใส่ชีสและไข่ไก่ลงไปในเนื้อดิบที่ผ่านการหมักและปรุงรสมาอย่างพิถีพิถัน ให้รสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ตัดกับความหวานหอมของลูกแพร์ที่ท็อปลงบนเนื้อและส่วนผสมต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว
หรือจะเป็น Beef Tartar Bibimbab (450 บาท) ข้าวยำเกาหลีหน้าเนื้อทาร์ทาร์ ที่ปรุงรสตามสูตรเฉพาะของทาง WOO TENDER ก็ดีงามไม่แพ้กัน
จากนั้นเติมความอิ่มท้องมากขึ้นอีกนิดด้วยเมนู Woo Tender Beef Cutlet Sandwich (4 ชิ้น 1,800 บาท / 6 ชิ้น 2,190 บาท) แซนด์วิชเนื้อเกรดพรีเมียมที่คัดสรรส่วนเนื้อที่นิ่มที่สุดมาเป็นวัตถุดิบหลัก ราดซอสเกาหลีสูตรเฉพาะ ให้เนื้อสัมผัสนุ่มชุ่มซอสที่เข้ากันดีกับขนมปัง
Kimchi Pancake Seafood (590 บาท) ซีฟู้ดกิมจิแพนเค้ก ที่มีลักษณะเหมือนพิซซ่าสไตล์เกาหลี โดยสูตรของทางร้านจะท็อปปิ้งด้วยชีสแบบเน้น ๆ ตามด้วยกุ้งชิ้นโต ได้รสกลมกล่อมหอมชีสเต็ม ๆ คำ
ส่วนใครที่มองหาเมนูข้าวอยู่ละก็ต้องลอง Beef Kimchi Fried Rice (750 บาท) ข้าวผัดกิมจิเนื้อ ปรุงรสชาติกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวโดดจนเกินไป คงรสชาติของกิมจิโฮมเมดสูตรเฉพาะของทางร้านไว้ได้เป็นอย่างดี ท็อปด้วยไข่ดาวสุกกำลังดี และโรยหน้าด้วยสาหร่ายแบบพูน ๆ ซึ่งคนรับประทานสามารถครีเอตหน้าตาข้าวผัดกิมจิจานนี้ให้เป็นรูปใบหน้าคนกำลังยิ้มได้ตามความชอบ
ในระหว่างที่อิ่มอร่อยกับเมนูเครื่องเคียง อย่าลืมพักเบรกด้วยการสั่งน้ำซุปร้อน ๆ มาซดให้คล่องคอ โดยทาง WOO TENDER นั้นมีเมนูซุปให้ได้เลือกสั่งอยู่หลากหลายชนิด แนะนำ Seaweed Soup (350 บาท) ซุปสาหร่ายที่ปรุงรสตามสูตรต้นตำรับชาววังของทางประเทศเกาหลีใต้ (ด้วยความเชื่อของชาวเกาหลีเชื่อว่าทุกวันเกิดจะต้องทานซุปสาหร่าย เพราะฉะนั้นการปรุงรสชาติซุปจึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้รสกลมกล่อม ไม่ว่าจะเสิร์ฟมื้อไหนก็เหมือนได้อิ่มอร่อยในวันเกิด)
หรือจะเป็น Kimchi Soup (350 บาท) ซุปกิมจิที่ให้รสชาติกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวโดดจนเกินไป ก็ตอบโจทย์คนชอบทานซุปได้ดีเช่นกัน
หลังจากอุ่นเครื่องกับเมนูเรียกน้ำย่อยกันไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาจัดหนักจัดเต็มกับสารพัดเมนูเนื้อพรีเมียมแบบเน้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Chateaubriand (100 g 1,390 บาท) เนื้อชาโตบรีย็องที่มีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ โดยเป็นชิ้นเนื้อส่วนที่ขายดีที่สุดที่สายเนื้อตัวจริงควรสั่งมาลิ้มลอง ย่างออกในแบบมีเดียมแรร์ ให้สัมผัสถึงความนุ่มชุ่มฉ่ำ ไม่ว่าจะทานเนื้อล้วน จิ้มกับวาซาบิ ซอสเกาหลี หรือเกลือนิดหน่อย ก็ช่วยเสริมความอร่อยที่เข้ากัน
การเสิร์ฟเนื้อสไตล์เกาหลีแท้ ๆ ของทางร้าน หรือตามแบบวัฒนธรรมการกินของชาวเกาหลี จะไม่นิยมจับคู่กับเครื่องเคียงหรือผักแกล้มใด ๆ โดยจะเน้นเสิร์ฟความอร่อยด้วยเนื้อล้วน ๆ เพื่อจะได้สัมผัสรสชาติเนื้อแบบ 100% โดยจะเสิร์ฟมาพร้อมกับซอสเพียงไม่กี่ชนิด เช่น เกลือ ซอสงา หรือวาซาบิ (ที่ให้กลิ่นหอมสดชื่นของยูซุอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว)
ท้าชิงความอร่อยตามมาติด ๆ ด้วยเนื้อส่วนไฮไลต์อย่าง Ribeye (100 g 990 บาท) เนื้อริบอาย สุดยอดเนื้อสเต๊กส่วนยอดนิยม เพราะมีลายไขมันแทรก ให้รสเข้มข้นติดมันนิด ๆ ไม่ว่าจะย่างแบบมีเดียมแรร์ หรือย่างแบบสุกกำลังดีก็อร่อยฟินทั้ง 2 แบบ
ก่อนจะปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Marinated Beef Rib (100 g 890 บาท) เนื้อร่องซี่โครงหมัก ปรุงรสอย่างพิถีพิถัน นำไปย่างหอม ๆ ได้รสเข้มข้นกลมกล่อม หอมกลิ่นสโมคแบบเต็มคำ
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมี Marinated Pork เนื้อหมูหมักพิเศษ (ที่ทางร้านติดต่อผ่านฟาร์มโดยตรง) ไว้คอยเสิร์ฟให้บริการสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อเฉพาะสาขาที่ไทยที่นี่ที่เดียวอีกด้วย ทั้งยังมีเมนูอาหารเกาหลีให้เลือกสั่งมาทานอีกมากมายอย่างหมูตุ๋นกิมจิ ที่ต้องผ่านกรรมวิธีเคี่ยวตุ๋นเป็นระยะเวลานาน หาทานได้ยากในไทย เรื่อยไปจนถึงเมนูราเมง ใครที่ชื่นชอบเมนูเส้นหรือซดซุปร้อน ๆ คล่องคอมื้อดึก ขอแนะนำให้มาปักหมุดลิ้มลองความอร่อยกันที่นี่
Must Read!
- แนะนำให้จองล่วงหน้าก่อนทุกครั้ง เพื่อความสะดวกรวดเร็ว โดยทางร้านจะแบ่งออกเป็น 2 รอบหลัก ๆ คือ รอบเวลา 17.00 น. และรอบเวลา 19.00 น. (หากต้องการปรับรอบเวลา สามารถแจ้งล่วงหน้ากับทางร้านได้ตามต้องการ)