The Story of ‘Zao’
ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงอีสาน ก็สามารถลิ้มรสความอร่อยนัวในแบบฉบับของอีสานแท้ ๆ ได้ที่ Zao Ekkamai หรือ ‘ซาว’ ที่ขยับขยายความอร่อยจากสาขาแรกที่จังหวัดอุบลราชธานี มาเปิดเป็นสาขาสองที่บ้านหลังน้อยในย่านเอกมัยให้ใครหลายคนได้คลายความคิดถึงบ้าน โดยมาพร้อมความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนมุมมองของคนต่ออาหารอีสาน ด้วยการบอกเล่าถึงวัฒนธรรมอาหารอีสานในมุมมองใหม่ที่น่าสนใจและทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม โดย คุณอีฟ-ณัฐธิดา พละศักดิ์ ดีไซเนอร์สาวผู้ก่อตั้งร้านซาว
‘ซาว’ ในภาษาอีสานหมายถึงการหยิบจับหรือการควานหาของ เพราะฉะนั้นคอนเซ็ปต์ของทางร้านจึงสื่อถึงการควานหาของดี ๆ วัตถุดิบดี ๆ ในแต่ละฤดูกาลมารังสรรค์สู่เมนูอาหารให้ทุกคนได้ลิ้มลอง พิเศษด้วยสูตรความอร่อยของ ‘ยายจุย’ แม่นมของคุณอีฟที่มักทำอาหารให้ทานมาตั้งแต่เด็ก โดยสูตรอาหารของยายจุยนั้นเน้นใช้วัตถุดิบตามฤดูกาล ปรุงรสตามตำรับอีสานแท้ ๆ ก่อนจะเสริมทัพความอร่อยให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของทุกคนในทีมที่ช่วยกันเฟ้นหาวัตถุดิบและคิดค้นทดลองสูตรตลอดระยะเวลากว่า 3 เดือน ทำให้ทุกเมนูของทางร้านมีรสชาติตามแบบฉบับดั้งเดิมที่คนอีสานทานแบบไหน ซาวก็พร้อมเสิร์ฟแบบนั้น
Good Vibes, Feel Like Home
ไม่เพียงแค่คอนเซ็ปต์การนำเสนอเมนูอาหารที่เน้นเสิร์ฟความอร่อยแบบดั้งเดิม บรรยากาศของทางร้านก็ยังคงแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับการเก็บโครงสร้างเดิมเอาไว้เช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ภายนอกก็โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสีขาวแบบเรียบง่ายสไตล์บ้านยุคเก่า พร้อมป้ายโลโก้ ‘ซาว’ ที่ชวนให้เราอยากเข้าไปสัมผัสบรรยากาศด้านใน ทันทีที่เข้าไปก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความอบอุ่น สบาย ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนการทานข้าวที่บ้าน
Traditional Isan Cuisine
แน่นอนว่าวัตถุดิบทุกอย่างของทางร้านส่งตรงของดีมาจากเกษตรกรหรือพ่อค้าแม่ค้าหลากหลายแหล่งทั่วอีสาน รวมถึงตลาดวารินชำราบ ซึ่งเป็นตลาดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบที่ซาวสาขาแรกเลือกใช้ของจากที่นี่ เพราะฉะนั้นสาขาที่เอกมัยแห่งนี้ก็การันตีได้เลยว่าทุกคนจะได้ลิ้มรสความอร่อยของวัตถุดิบจากอีสานแท้ ๆ เช่นเดียวกัน
มาเริ่มต้นความแซ่บในหมวดส้มตำอย่าง ตำถั่วปูนาดอง (200 บาท) เมนูยอดนิยมของคนอีสาน มาพร้อมความแซ่บนัว จัดจ้าน โดยเป็นการนำเอาถั่วฝักยาวมาผ่านกรรมวิธีการตำและคลุกเคล้ารสชาติความอร่อยด้วยปลาร้าหอมและปูนาดองสูตรเฉพาะของทางร้าน ตั้งแต่คำแรกที่ทานก็ให้สัมผัสถึงรสชาติเผ็ดนัวตามตำรับสไตล์อีสานแท้ ๆ
ส่วนใครชอบทานตำผลไม้ ต้องห้ามพลาดกับ ตำกระท้อน (250 บาท) เมนูสุดพิเศษเฉพาะฤดูกาลนี้ที่ทางร้านคัดสรรกระท้อนคุณภาพดีส่งตรงมาจากชาวบ้าน ให้สัมผัสเนื้อแน่นและรสเปรี้ยวอมหวาน นำมาตำคลุกเคล้าด้วยปลาร้าหอมและปูนาดองสมุนไพรที่มีรสชาติไม่เค็มจนเกินไป ทำให้จานนี้มีทั้งรสชาติเปรี้ยว หวาน หอม เผ็ด นัว ที่ไม่ว่าใครทานก็ต้องถูกใจอย่างแน่นอน
ดับรสชาติความเผ็ดด้วย เส้นเล็กผัดไข่กากหมู (180 บาท) เมนูที่คนอีสานมักทานคู่กับส้มตำ โดยเป็นการนำเอาเส้นเล็กที่มีความเหนียวนุ่มกำลังดี มาผัดคลุกเคล้ากับไข่และต้นหอมจนได้ที่ แล้วเพิ่มรสสัมผัสด้วยกากหมูเจียวกรอบ ที่ช่วยเสริมความอร่อยให้เมนูนี้กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
มาถึงเมนูไฮไลต์ที่ทางร้านแนะนำว่าต้องลอง คือ ปลายอนแม่น้ำมูลย่างเกลือ (350 บาท) ปลายอนสดใหม่ที่ส่งตรงมาจากแม่น้ำมูล มีรสชาติคล้ายปลาเนื้ออ่อน ส่วนเทคนิคกรรมวิธีการทำไม่มีความซับซ้อน เพราะทางร้านปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น ก่อนจะเสียบเข้ากับไม้ไผ่ป่าแล้วย่างจนได้กลิ่นหอม พร้อมโรยด้วยต้นหอมปิดท้าย หรือหากใครอยากเพิ่มรสชาติก็สามารถบีบมะนาวลงไปได้เช่นกัน เป็นเมนูที่สื่อถึงวัฒนธรรมการกินง่ายอยู่ง่ายของคนอีสานเป็นอย่างดี
ตามด้วยอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของอีสาน คือ ส้มชิ้นหมู (250 บาท) หรือแหนมหมูชิ้น เมนูที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เพราะทางร้านได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมของชาวเวียงจันทน์ โดยจะเป็นการนำหมูไปหั่นเป็นชิ้นแทนการสับแล้วหมักให้มีรสเปรี้ยว ก่อนจะนำไปย่างถ่านหอม ๆ เสิร์ฟพร้อมมะนาว พริกสด พริกแห้ง และหัวหอม ให้ทานพร้อมกัน
ถัดมาที่เมนู ซี่โครงหมูอบโอ่ง (480 บาท) พิเศษด้วยกรรมวิธีการอบโอ่งแบบโบราณ คือการอบด้วยเตาถ่านที่ใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมง จนได้ซี่โครงหมูที่มีความชุ่มฉ่ำกำลังดี ก่อนที่จะนำไปคลุกเคล้าด้วยน้ำจิ้มแจ่วสูตรเด็ดของทางร้าน ให้รสชาติหอม เข้มข้น จัดจ้าน แนะนำให้ทานคู่กับข้าวเหนียวร้อน ๆ รับรองว่าต้องติดใจ
ปิดท้ายด้วยการซดร้อน ๆ ให้คล่องคอกับเมนู ต้มปลายอนผักแขยง (350 บาท) พิเศษด้วยน้ำซุปรสกลมกล่อมที่ทางร้านเคี่ยวน้ำสต๊อกจากก้างปลาและหัวปลา ทำให้ได้น้ำซุปรสชาติหอมมันเป็นเอกลักษณ์ ก่อนจะนำมาต้มกับปลายอนแม่น้ำมูล แล้วเพิ่มความหอมด้วยผักแขยง ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านที่คนอีสานมักนำมาประกอบอาหาร เมนูนี้จึงเต็มไปด้วยรสชาติเข้มข้น กลมกล่อม หอม มัน นัว