Live Unforgettable
สัมผัสประสบการณ์การเข้าพักเหนือระดับกับ Waldorf Astoria Bangkok โรงแรม 5 ดาวสุดหรูของ Waldorf Astoria Hotels & Resorts ในเครือ Hilton ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเรียบร้อย บนถนนราชดำริ ใจกลางกรุงเทพฯ โดยนับเป็นโรงแรม Waldorf Astoria แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่บนอาคาร Magnolia ที่มีความสูง 60 ชั้น โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมจากผลงานการออกแบบของนักสถาปนิกชื่อดังระดับโลกที่สร้างสรรค์ห้องพัก ห้องอาหาร และบาร์ ผ่านการตกแต่งอย่างงดงามเหนือระดับ พร้อมการให้บริการสุดประทับใจ หากจะเท้าความถึง Luxury Brand อย่าง Waldorf Astoria แล้วละก็ โรงแรมแต่ละแห่งของแบรนด์ดังกล่าวนี้ล้วนมอบประสบการณ์สุดประทับใจในแบบฉบับของ True Waldorf Service เริ่มตั้งแต่การจองห้องพักไปจนกระทั่งเช็คเอาท์ ภายใต้คอนเซ็ปต์การสร้างความประทับใจอย่างไม่มีวันลืมให้แขกผู้เข้าพักทุกคน
Designed by Professional Architecture Team
สำหรับ Waldorf Astoria Bangkok แห่งนี้ให้บริการห้องพักและสวีทสไตล์เรสสิเดนเชียล จำนวนทั้งหมด 171 ห้อง ที่สะท้อนให้เห็นถึงความมีศิลปะที่ประณีต พิถีพิถันด้วยการออกแบบของสถาปนิกชื่อดังชาวฮ่องกงอย่าง Andre Fu และทีมงานของเขาจาก AFSO Desiagn Studio โดยออกแบบให้มีความร่วมสมัยและสอดแทรกเสน่ห์ศิลปะแบบไทย เป็นการตีความที่เหมาะสมกับกรุงเทพฯ ยุคใหม่อย่างแท้จริง โดย Andre Fu รับหน้าที่ในการออกแบบตกแต่งห้องพัก, ห้องอาหาร Front Room, ห้องอาหาร The Brasserie, Pezcock Alley Lounge, ห้องประชุมสัมมนา รวมถึงห้อง Magnolia Ball Room ที่ใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองต่าง ๆ ทั้งนี้ บริเวณชั้นที่ 55-57 ของโรงแรม ยังประกอบด้วยห้องอาหารและบาร์จำนวน 3 ห้อง ที่สามารถเห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ในมุมกว้างที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม โดยบริษัทออกแบบคอนเซ็ปต์และดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง AvroKO ซึ่งรับหน้าที่ออกแบบภายในห้องอาหาร Bull & Bear, The Loft และ The Champagne Bar ที่สอดรับกับความเป็น Waldorf Astoria ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
All Luxury Rooms
โรงแรมมีห้องพักและห้องสวีททั้งหมด 171 ห้อง (ราคาเริ่มต้น 13,000 บาท) แบ่งออกเป็น King Rooms 124 ห้อง, Twin Rooms 12 ห้อง และ ห้อง Suites 35 ห้อง ขนาดความกว้างเริ่มต้นที่ 50 ตารางเมตร ติดกระจกบานใหญ่ตั้งแต่พื้นจรดเพดาน รับชมวิวใจกลางกรุงเทพฯ จากห้องพักได้อย่างเต็มตา ชุด amenity kit ในห้องน้ำใช้ของแบรนด์ซัล วาทอร์เร่ เฟอร์รามาโม (Salvatore Ferragamo)
ห้อง Royal Suite มีความกว้างถึง 300 ตารางเมตร ประกอบด้วยสองห้องนอน, ห้องนั่งเล่นแยกต่างหาก, ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัวพร้อมอุปกรณ์ครบครันและเคาน์เตอร์บาร์ พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน ตู้เสื้อผ้าแบบวอล์คอินและห้องน้ำที่มีห้องอาบน้ำและอ่างอาบน้ำแยกเป็นสัดส่วน
The Facilities and More
ตามมาด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำกลางแจ้งที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิน้ำ อีกทั้งยังมีพูลบาร์และยังมีฟิตเนสสตูดิโอที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้ผู้เข้าพักได้ออกกำลังกายและผ่อนคลายตลอดทั้งวัน
หากใครที่อยากผ่อนคลาย ต้องแวะไปใช้บริการสปาทรีตเมนท์จาก Waldorf Astoria Spa เป็นสปาที่มอบความเป็นส่วนตัว เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายภายนอก มีโปรแกรมที่ผสมผสานปรัชญาการบำบัดแบบไทยและเทคนิคร่วมสมัย และยังมีผลิตภัณฑ์สปาซึ่งผลิตจากวัตถุดิบในท้องถิ่นที่คัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม
โดยที่นี่จะเปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. ให้บริการการบำบัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ดูแลผิวหน้าและผิวกาย นวดผ่อนคลาย โดยเทอราปิสผู้เชี่ยวชาญ และยังมีโปรแกรมบำบัดสำหรับสุภาพบุรุษอีกด้วย
Restaurants & Bar
ด้านห้องอาหาร เลาจน์ และบาร์ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ได้แก่ Front Room ห้องอาหารหลักของโรงแรม รังสรรค์เมนูสไตล์นอร์ดิก-ไทยที่ผสมผสานรสชาติอาหารในแถบยุโรปเหนือและไทยได้อย่างลงตัว, The Brasserie ห้องอาหารฝรั่งเศสที่เน้นการใช้วัตถุดิบจากภายในประเทศ สดใหม่เป็นหลัก ตั้งอยู่บนล็อบบี้ชั้นบน ให้บริการอาหารมื้อเช้า กลางวัน และค่ำ อีกทั้งยังเป็นจุดชมวิวกรุงเทพฯ ในบรรยากาศสบาย ๆ
Peacock Alley เลาจน์บริเวณล็อบบี้ชั้นบนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากต้นแบบที่ Waldorf Astoria New York ให้บริการชุดชายามบ่าย และอาหารว่าง มีเมนูขนมอบโฮมเมดและเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นตลอดทั้งวัน,
Bull & Bear ตั้งอยู่บนชั้น 55 ให้บริการอาหารย่างและอาหารทะเล มีเคาน์เตอร์อาหารสดให้เลือกปิ้ง ย่าง อบ หรือรมควันตามชอบ โดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์ Art Deco ที่มาพร้อมทิวทัศน์ที่สวยงามของกรุงเทพฯ เหมาะสำหรับสังสรรค์ จัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่ง
The Loft บาร์สุดหรูที่ตั้งอยู่บนชั้น 56 ได้แนวคิดจากบาร์ในนิวยอร์ค ตกแต่งในสไตล์ Romantic Art Nuvo ให้บริการเครื่องดื่มที่เลื่องชื่อในท้องถิ่น และค็อกเทลที่โด่งดังในอดีต ใช้วัตถุดิบโฮมเมด เสิร์ฟพร้อมกับอาหารว่างรสเลิศ
และ The Champagne Bar ที่ตั้งอยู่บนชั้น 57 ชั้นสูงสุดของโรงแรม ให้บริการแชมเปญ ค็อกเทลสุดครีเอทีฟ พร้อมวิวที่สวยที่สุดของกรุงเทพฯ ในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว
เรียกว่าเป็นมิติใหม่แห่งวงการโรงแรมในไทยที่ได้รับความร่วมมือจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้กรุงเทพฯ กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายของการเดินทางพักผ่อนอย่างเหนือระดับให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างแท้จริง