ชวนคุณมา Hopping อีกหนึ่งย่านคลาสสิกของเมืองไทย เดินเที่ยวลัดเลาะรอบ ‘ย่านหลานหลวง’ เพื่อชมสถาปัตยกรรมและซึมซึบบรรยากาศความเก่าแก่ วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของผู้คนในละแวกนั้นไปพร้อม ๆ กัน แต่การจะไป Hopping ทั้งที ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แล้วอย่าลืมพก Accessories ชิ้นสำคัญสำหรับสาว ๆ ติดตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าสตางค์ เครื่องสำอาง แว่นตากันแดด ร่ม หรือว่าพัด ที่มาช่วยคลายความร้อนระหว่างทาง
ที่สำคัญลองเลือกกระเป๋าดี ๆ สักใบ ไว้ช่วยบรรจุของสำคัญและเสริมลุคให้ได้ความเก๋ไก๋สไตล์สาวปารีเซียง เช่น ไอเท็มใบสวยสุดคลาสสิกอย่างกระเป๋า Longchamp แบรนด์กระเป๋าชื่อดังจากกรุงปารีส ไอเท็มที่สาว ๆ แฟชั่นนิสต้าต้องมีติดตู้กันไว้สักใบสองใบ โดยเฉพาะรุ่น Le Pliage Club ฉลองครบรอบ 25 ปี กระเป๋าไนลอนรุ่นคลาสสิกที่แรงบันดาลใจมาจากศิลปะการพับกระดาษแบบญี่ปุ่นสไตล์ที่เรียกว่า 'Origami' มิกซ์แอนด์แมทช์ได้เข้ากับทุกชุดทุกสไตล์ และกลายเป็นรุ่นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
โดยปรับโฉมและเพิ่มความสนุกสนานให้กระเป๋าน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรูปลักษณ์ดีเทลคู่สีและวัสดุผ้าไนล่อนแคนวาส พร้อมฝาปิดและหูจับที่ทำจากหนังวัว Russian Leather ในเฉดสีเดียวกันกับตัวกระเป๋าแบบ Tone - On - Tone พร้อมกับช่องใส่ของด้านในขนาดใหญ่ขึ้น จุของได้เยอะ เพิ่มรายละเอียดโลโก้ด้วยลายปักรูปม้าที่เราคุ้นเคย ในขณะที่สแน็ปกระดุมและยาแนวขอบหนัง ใช้คู่สีตัดกันและแตกต่างกันไปตามแต่ละสีของตัวกระเป๋า
Le Pliage Club จึงเป็นอีกหนึ่งคอลเลกชันที่ควรมีไว้ในครอบครอง และสะพายไปเดินชิคในฤดูกาลนี้ คว้ากระเป๋า Longchamp แล้วออกไปเดินลัดเลาะรอบหลานหลวงให้ได้ฟีลเก๋สไตล์สาวปารีเซียงกันดีกว่า
เริ่มต้น Hopping กันที่บ้านเลขที่ 1 บนถนนหลานหลวง ที่เดิมเคยเป็นโรงรับจำนำเก่าแก่ ก่อนที่ปัจจุบันจะกลายมาเป็น MAMUANG SHOP บ้านหลังแรกอย่างเป็นทางการของน้องมะม่วง คาแร็กเตอร์เด็กหญิงหัวโตผมหน้าม้าสุดน่ารัก จากฝีมือการสร้างสรรค์ของ ตั้ม - วิศุทธิ์ พรนิมิตร และแบรนด์เสื้อผ้า VL BY VEE ของ วี - ฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์ ที่โด่งดังไปไกลถึงญี่ปุ่น
ร้านถูกแบ่งด้วยประตูสองฝั่งอย่างชัดเจน แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะเจอกับโลกของน้องมะม่วงและคัตติ้งเสื้อผ้าน่ารักที่แขวนรวมกันอย่างกลมกลืน ร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ย้อนยุคที่ทั้งสองชอบตามมุมต่าง ๆ บนผนังติดผลงานภาพเพนต์น้องมะม่วงขนาดใหญ่ฝีมือคุณตั้มเอาไว้ รวมทั้งสินค้ากระจุ๊กกระจิ๊ก อย่าง ตุ๊กตา กระเป๋า ผ้าเช็ดหน้า สมุดโน๊ต ฯลฯ จากน้องมะม่วงจังและเหล่าผองเพื่อนคาแร็คเตอร์อื่น ๆ ก็ช่วยเติมเต็มและเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นบ้านหลังเล็กแสนอบอุ่นได้ทันตา ซึ่งในอนาคตบริเวณชั้นสองซึ่งเป็นตู้เซฟเก่าไว้เก็บของมีค่าของโรงรับจำนำ จะเปิดเป็นพื้นที่ขายขนมให้ได้ลองชิม และชั้นสามจะกลายเป็นพื้นที่สร้างสรรค์จัดงานนิทรรศการ แกลลอรี ดนตรี ฉายหนัง รวมทั้งเวิร์กช็อปให้ได้ร่วมสนุกกัน
เสื้อผ้าน่ารักมากมายที่แขวนอยู่บนราวแขวน ออกแบบโดยคุณวี - ภรรยาของคุณตั้ม ซึ่งได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดีในญี่ปุ่น ก็ให้เราจับจองลองสัมผัส และสวมใส่เสื้อผ้าที่มีคาแรกเตอร์สีสันสดใส สนุกสนานชวนฝัน และสวมใส่สบายหลายโอกาสได้ที่นี่ นอกจากนี้ยังมีสินค้าพิเศษที่ขายเฉพาะที่ร้านอีกด้วย อย่างเช่น เสื้อผ้า VL BY VEE คอลเลกชันพิเศษ สินค้าของมะม่วงที่ไม่ค่อยเห็นจากที่อื่น ทั้งกระเป๋าต่าง ๆ ไปจนถึงกาชาปองที่เห็นแล้วก็พร้อมควักกระเป๋าเสียเงินให้กับความน่ารัก
มาถึงบ้านของน้องมะม่วงทั้งที นอกจากจะช้อปสินค้าน่ารักติดไม้ติดมือ ก็พลาดไม่ได้กับ ไอติมน้องมะม่วง (100 บาท) ที่ผสมผสานรสชาติจากช็อกโกแลตและสีเสื้อของน้องมะม่วงที่เปลี่ยนรสชาติให้เราเดาไปเรื่อย ๆ เช่น มะม่วง สตรอเบอร์รี คาราเมล ให้เดินชิมและ Hopping แบบชิลล์ ๆ ต่อแบบชื่นใจ
MAMUANG SHOP & VL BY VEE
เปิดทุกวันพุธ - วันอาทิตย์ เวลา 11.00 – 19.00 น.
โทร. 090-981-1372
www.facebook.com/wisutgoods
เดินต่อไปยังถนนจักรพรรดิพงษ์จะเจอกับ Pollen Baked Goods ร้านเบเกอรี่โฮมเมดที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากย่านนางเลิ้ง แต่เดิม Pollen Baked Goods เป็นโรงงานผลิตขนมปังส่งออกเพียงอย่างเดียว ก่อนจะเปลี่ยนมาเปิดพื้นที่หน้าร้านขนมปังเล็ก ๆ แสนอบอุ่น และเต็มไปด้วยขนมปังสูตรพิเศษที่เชิญชวนให้เราได้เดินเข้าไปลองชิม
FULL REVIEWบรรยากาศหลังบานประตูสีน้ำเงินตกแต่งด้วยสไตล์ลอฟท์แต่แฝงไปด้วยความเรโทรนิด ๆ บนพื้นที่เดิม เติมแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์วินเทจที่เป็นของเก่าสะสมเรียบง่าย เมื่อเจอกับแสงแดดอุ่น ๆ ยามเช้าที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างและความหอมของเบเกอรี่ ก็ยิ่งเพิ่มบรรยากาศของร้านให้อบอุ่นและมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ยังโดดเด่นด้วยบรรดาเบเกอรีโฮมเมดบนชั้นวางหน้าตาเรียบง่าย เต็มไปด้วยความอร่อยและอบสดใหม่ทุกวันในราคาเบา ๆ เมนูแนะนำ Cinnamon Buns (65 บาท) ขนมปังบันเนื้อนุ่มก้อนใหญ่ไส้ซินนามอน แต่งหน้าด้วยอัลมอนด์กรุบกรอบ และหอมกลิ่นเครื่องเทศที่พึ่งอบร้อน ๆ ออกมาให้ลองชิมกัน ทานคู่กับ Iced Chocolate (65 บาท) ช็อกโกแลตเย็นเข้มข้นเพื่อเติมความสดชื่น ใครที่อยากไปชิมขนมปังอร่อย ๆ ของร้านนี้ต้องรีบไปกันสักหน่อยเพราะขนมเริ่มทยอยหมดตั้งแต่ครึ่งวันเลยทีเดียว
หมายเหตุ : ปัจจุบันทางร้านได้ปิดตัวลงอย่างถาวร
เดินทะลุถนนนครสวรรค์ไปยังคลองผดุงกรุงเกษม ริมถนนโดดเด่นด้วย Buddha & Pals คาเฟ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในตึกแถวโบราณอายุกว่า 80 ปี ตกทอดความคลาสสิกผ่านประวัติและเรื่องเล่าของผู้เป็นเจ้าของจากรุ่นสู่รุ่น นับตั้งแต่ 'ท่านหลวงสิทธื์ โยธารักษ์' หมอยาที่มีชื่อเสียงในอดีต ผู้คิดค้นต้นกำเนิด 'น้ำมันมวย' ก่อนเปลี่ยนกิจการไปหลายรูปแบบ ทั้งร้านสูท ร้านเครื่องประดับ จนกระทั่งทายาทของโรงงานน้ำมันมวยรุ่นที่ 4 และ คุณแมค - ภีระสิทธิ์ สีมูลเสถียร ร่วมกันสานต่อและอนุรักษ์อาคารนี้ ด้วยการรีโนเวทอาคารให้กลายเป็นโฮสเทล Kanvela House และร้านกาแฟ Buddha & Pals ในปัจจุบัน
FULL REVIEWพาคุณไปเปลี่ยนบรรยากาศ ย้อนเวลาไปกับตึกแถวทรงคุณค่าทันทีที่เปิดประตูเข้าไป พบกับสไตล์การตกแต่งแบบ Rustic ที่ผสมผสานเฟอร์นิเจอร์ Vintage จัดวางอย่างมีสัดส่วน และเป็นส่วนตัวในบรรยากาศโปร่งโล่งเย็นสบายจากเพดานสูง ซึ่งบางจุดเจาะให้ต้นไม้ที่ปลูกภายในร้านโตขึ้นไปรับแสงตามธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนอีกด้วย
เมนูอาหารของที่นี่เน้นเสิร์ฟอาหารทานง่ายได้สุขภาพ โดยเลือกใข้วัตถุดิบสดใหม่และปรุงอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะสลัดและ Toast ต่าง ๆ ที่เหมาะจะทานคู่กับเครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้วสองแก้ว ขอแนะนำ Grill Salmond Salad (280 บาท) สลัดเนื้อปลาแซลมอนที่คลุกเคล้ากับข้าวโพด มะเขือเทศ อโวคาโดที่สดใหม่และไข่ต้มที่สุกกำลังดี อร่อยทานง่ายแบบได้สุขภาพ
ดื่มด่ำบรรยากาศไปพร้อมจิบ Signature Drink ประจำร้านสักหน่อยก็คงดีไม่น้อย โดยเฉพาะ Dancing Devil (135 บาท) ม็อกเทลรสจัดจ้านจากส่วนผสมของพริกและผักชี ที่ใส่ลงในน้ำสับปะรดและมะนาว และหอมกลิ่นซินนามอนเบา ๆ รอบขอบแก้วยามดื่มก็จะได้ความสดชื่นแบบเต็ม ๆ
Buddha & Pals
ถนนกรุงเกษม (ใกล้วัดโสมนัสราชวรวิหาร) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00 - 19.00 น. โซนบาร์แจ๊สเปิดเวลา 19.00 - 23.00 น
โทร. 06-1585-9283
www.facebook.com/kanvelahouse
บนถนนนครสวรรค์มีคฤหาสถ์ทรงยุโรปหลังงามอายุร้อยกว่าปีตั้งอยู่ เป็นเรือนหอของ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ผู้เป็นคนวางรากฐานด้านการศึกษาของประเทศไทย และเป็นผู้ริเริ่มให้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศในสมัยนั้น คฤหาสถ์หลังใหญ่นี้สร้างตั้งแต่ปี ปี พ.ศ. 2442 โดย Mario Tamagno สถาปนิกผู้ออกแบบบ้านคนเดียวกับที่ออกแบบพระที่นั่งอนันตสมาคม และห้องสมุดเนลสันเฮย์ ไม่แปลกที่เราจะเห็นโครงสร้างและรายละเอียดบางจุดที่คุ้นตาและคล้ายคลึงกัน
เนิ่นนานหลายปี ก่อนที่ล่าสุดคฤหาสถ์หลังนี้จะได้รับการบูรณะ และรีโนเวทก่อนเปิดให้บุคคลทั่วไปได้สัมผัสร่องรอยประวัติศาสตร์และความงามของสถาปัตยกรรมหลังนี้ได้อย่างใกล้ชิด และเปลี่ยนเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ภายใต้ชื่อของโครงการว่า ‘Bangkok 1899’ ที่เป็นที่พักสำหรับศิลปินนานาชาติ พื้นที่สวนสาธารณะ พื้นที่สร้างสรรค์สำหรับจัดนิทรรศการและการเป็นต้นแบบในด้านความยั่งยืน รวมถึงร้านกาแฟเพื่อสังคมอย่าง 'Na Café'
แม้จะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานร่วมร้อยกว่าปี แต่ความงดงามของตัวอาคารไม้และพื้นหินอ่อนบริเวณชั้นล่าง รวมทั้งลวดลายปูนปั้น บริเวณซุ้มประตู หน้าต่าง เสา คาน และช่องลม ยังคงอยู่ในสภาพดีและสวยงามตามกาลเวลา ความโดดเด่นของที่นี่คือการสร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มที่มีความเป็นท้องถิ่น เน้นกระบวนการ Zero Waste ไร้ขยะที่สมบูรณ์แบบที่สุด และนำรายได้ไปช่วย 'มูลนิธิสติ’ เพื่อช่วยเหลือเรื่องสุขภาพและการศึกษาของเด็กด้อยโอกาสต่อไป ซึ่งตรงกับนิยาม Creative Social Impact Cafe คาเฟ่เพื่อสังคมอย่างแท้จริง
Na at Bangkok1899 เลือกเมล็ดกาแฟเบลนด์ที่ปลูกในประเทศไทยจากบ้านสันเจริญ จังหวัดน่าน และดอยช้าง จังหวัดเชียงราย โดย School Coffee ที่ลงพื้นที่ไปดูแลกาแฟ และยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านให้ดีขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะ Hot Latte (70 บาท) ที่ได้กลิ่นหอมอโรมา และรสชาติฟรุตตี้นิด ๆ ของกาแฟเข้ม เเละเมนู Zero Waste Refreshing (80 บาท) เครื่องดื่มน้ำโซดาผสมไซรัปจากเปลือกส้มที่นำไปบดกับกากน้ำตาล ให้น้ำมันระเหยกลิ่นออกมา และเคี่ยวจนได้รสชาติหวาน เปรี้ยว ซ่า และขมที่ปลายลิ้นเล็กน้อย เสิร์ฟมาในแก้วใสพร้อมหลอดกระดาษ วางรองด้วยใบตองอย่างธรรมชาติ
ปิดท้ายด้วยโลเคชั่นที่ตั้งอยู่บนถนนหลานหลวง Bangkok Publishing Residence โรงแรมบูทีคที่ตกแต่งในสไตล์ Industrial ชวนคุณมาแวะพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศคลาสสิก ที่รีโนเวทจากอาคารโรงพิมพ์เก่าของนิตยสารบางกอก ปัจจุบันยังคงเก็บรักษาร่องรอยความทรงจำแห่งอดีตเมื่อ 60 กว่าปีเอาไว้ เพื่อให้ผู้เข้าพักได้ทราบถึงเรื่องราวความเป็นมา รวมถึงซึบซับมนต์เสน่ห์ของธุรกิจการพิมพ์ยุคสมัยก่อนผ่านบริบทใหม่ในสถานที่พักผ่อนใจกลางพระนคร
นอกจากการพักผ่อนทอดกายลงห้องพักแสนอบอุ่นแห่งนี้ Bangkok Publishing Residence ยังเป็นโรงแรมกึ่งพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวธุรกิจโรงพิมพ์ที่เคยรุ่งเรืองในสมัยก่อน ผ่านเฟอร์นิเจอร์และของแอนทีคต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของห้องพักเปิดให้ใช้บริการเพียง 8 ห้องเท่านั้น ประกอบด้วย ห้อง Junior Suite (ราคา 4,800 บาท ต่อคืน), Junior Twin Suite (ราคา 4,800 บาท ต่อคืน) และ Master Suite (ราคา 7,800 บาท ต่อคืน)
แต่ละห้องมีธีมการตกแต่งและเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่แตกต่างกัน โดยเลือกนำเครื่องใช้บางส่วนที่เคยใช้งานจริงจากโรงพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นแท่นพิมพ์ โปสเตอร์โฆษณาที่เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสาร หนังสือคลังข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้อ้างอิง ในยุคสมัยนั้น โต๊ะเขียนจดหมาย ป้ายคำอธิบายการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงพิมพ์ ฯลฯ มาตกแต่ง จัดวางอย่างพิถีพิถัน แล้วเก็บทุกรายละเอียดเพื่อให้ได้กลิ่นอายของโรงพิมพ์ในอดีต แต่แฝงไว้ด้วยความสงบ อบอุ่น ผ่อนคลายเหมือนได้พักผ่อนอยู่บ้าน
สำหรับใครที่ต้องการเข้าชมสัมผัสบรรยากาศสุดคลาสสิก หรือเข้าพัก Bangkok Publishing Residence ต้องทำการนัดหมายก่อนล่วงหน้าเท่านั้น ผ่านทาง www.bpresidence.com และติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/bangkokpublishingresidence
Bangkok Publishing Residence
ถนนหลานหลวง
โทร. 02-282-0288
www.bpresidence.com
www.facebook.com/bangkokpublishingresidence
กระเป๋ารุ่นไอคอนนิค Longchamp คอลเลกชัน Le Pliage Club มีให้เลือกหลากสไตล์ด้วยกัน ได้แก่ Pouch, Top Handle, Shoulder, Document, Travel Bag และ Backpack ดีไซน์เรียบง่าย ช่วยเปลี่ยนลุคเป็นสาวปารีเซียงในวันสบาย ๆ สามารถพับเก็บและมิกซ์แอนด์แมทช์ได้เข้ากับทุกชุดทุกสไตล์ โดยซีซันนี้มีสีให้เลือกถึง 8 สี โดยเฉพาะสีคลาสสิกอย่าง สีกรมท่า (Navy) พร้อมลายปักและกระดุมสีแดง, สีครีม (Beige) พร้อมลายปักและกระดุมสีน้ำเงิน และ สีแดง (Garnet Red) พร้อมลายปักและกระดุมสีกรมท่า สามารถดูสีเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/2Jhy8Hp