จากร้านอาหารสไตล์ Casual Fine Dining ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการรังสรรค์เมนูต่าง ๆ จากธรรมชาติ Cuisine de Garden ซึ่งเปิดให้บริการแก่คนกรุงเทพฯ มาสักระยะหนึ่ง ก็กลับมาเสิร์ฟความอร่อยด้วยเมนูใหม่ให้ได้ลิ้มลองกันอีกครั้ง ด้วยธีมของฤดูกาลที่เปลี่ยนไป เพื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งความสุข ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2562
Cuisine de Garden มาพร้อมกับการนิยามตัวเอง นำเสนอคอนเซ็ปต์อาหารที่ชัดเจนมากขึ้นในรูปแบบ Innovative Cuisine โดยเป็นการผสมผสานวัตถุดิบคุณภาพต่าง ๆ จากหลากหลายสัญชาติเข้าไว้ด้วยกัน แต่คงพื้นฐานของรสชาติไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นไทย ความเป็นท้องถิ่นที่ค่อนข้างพิถีพิถันในการหาสรรหาแหล่งวัตถุดิบทั้งภายในประเทศไทยและวัตถุดิบนำเข้ามาใช้อย่างจริงจัง ผ่านกรรมวิธีปรุงอาหารแบบ Modern Technique ปรับรูปลักษณ์หน้าตาอาหารแต่ละจานให้มีความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น และยังคงเน้นจุดเด่นไปที่ Nature Inspired ซึ่งทางเชฟได้มีการนำเรื่องราวของธรรมชาติมาครีเอทเป็นเมนูต่าง ๆ เพื่อให้การเสิร์ฟอาหารของทางร้านมีเรื่องราวมากขึ้น มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งเปิดประสบการณ์การทานอาหารในรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ที่เข้ามาทานประทับใจมากกว่าที่เคย
เมื่อก้าวเข้ามาในร้านก็จะได้สัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติผ่านการตกแต่งที่ช่วยเสริมบรรยากาศ บอกเล่าเรื่องราวของอาหารทุกจานเชื่อมโยงไปถึงธรรมชาติเสมอ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในสวนอันเงียบสงบ อีกทั้งยังมีบาร์ค็อกเทลที่ทำมาจากหินกรวด ห้อมล้อมด้วยดวงไฟเล็ก ๆ ระยิบระยับคล้ายกับหิ่งห้อย ชวนให้มองเพลิน ๆ รวมถึงมีโซนเอาท์ดอร์ที่ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับจิบเครื่องดื่มและใกล้ชิดธรรมชาติไปพร้อม ๆ กัน ในส่วนของเมนู มีการปรับเปลี่ยนจากคอร์สเมนูรูปแบบเดิมเป็น 10 Course Tasting Menu (1,950 ++ บาท / Wine Paring 1,200 บาท) ประกอบด้วย 10 เมนู ไล่เรียงตามลำดับ นับตั้งแต่เมนูทานเล่นเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก ไปจนถึงเมนูของหวานปิดท้ายระหว่างมื้อ นอกจากนี้ยังมี Wine Selection ที่ทางร้านตั้งใจเลือกมาเสริมรสชาติอาหารให้มีความอร่อยมากยิ่งขึ้น เริ่มจากเมนู Fallen Leaf ขนมปังบริยอชสูตรโฮมเมด เสิร์ฟมาในลักษณะของใบไม้ ซึ่งเชฟได้แรงบันดาลใจมาจากใบทองกวาวที่ร่วงหล่นบนพื้นสนามหญ้าหลังบ้าน ทำให้เกิดไอเดียที่จะทำขนมปังออกมาให้มีลักษณะคล้ายกันกับใบทองกวาว สอดคล้องกับช่วงฤดูหนาวที่ใบไม้เริ่มผลัดใบ ร่วงหล่นพอดี โดยเมนูนี้เสิร์ฟคู่มากับครีมชีส Porcini ที่ให้รสเปรี้ยวของครีมชีสและกลิ่นหอมของเห็ด Porcini สอดคล้องกับการออกแบบและตกแต่งจานในลักษณะของต้นไม้จำลอง สื่อถึงกลิ่นอายของฤดูหนาวหรือช่วงฤดูใบไม้ร่วงตามชื่อเมนูได้เป็นอย่างดี ต่อมาคือเมนูที่เชื่อมโยงให้เห็นถึงทรัพยากรธรรมชาติอย่าง Mangrove ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากป่าชายเลน เป็นที่ ๆ น้ำจืดและน้ำเค็มมาเจอกัน (น้ำกร่อย) เมนูนี้ทางเชฟเลือกใช้สาหร่ายคอมบุ (ตัวแทนของน้ำเค็ม) มาครีเอทเป็นแคร็กเกอร์ เสิร์ฟมาคู่กันกับ Cured Scallop ที่นำไปมิกซ์กับ Farmed Kelp หรือสาหร่ายน้ำจืด (ตัวแทนของน้ำจืด) แล้วท็อปบนด้วยใบชะคราม (พืชอวบน้ำท้องถิ่นที่มักขึ้นบริเวณป่าชายเลน ให้รสชาติกลมกล่อม) และโฟมส้มยูสุที่ให้กลิ่นหอมสดชื่น ตามมาด้วยเมนูที่บอกเล่าเรื่องราวความอุดมสมบูรณ์ของเกษตรกรรมไทย ‘ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว’ กับการครีเอทเมนูที่มีชื่อว่า Rice Field แบ่งออกเป็น 2 คำย่อย ๆ คำแรกเสิร์ฟมาในลักษณะของจอบขุดดินอันเล็ก ๆ สื่อถึงนาข้าว (ในนามีข้าว) โดยส่วนผสมของคำแรกนี้คือเนื้อวัว Beef Tartare สูตรพิเศษของทางร้าน ส่วนด้านบนที่มีลักษณะคล้ายผงดินคือ Riceberry Cracker ข้าวไรซ์เบอร์รีที่ทำออกมาเป็นแคร็กเกอร์ แล้วนำไปบดให้ละเอียด เวลาที่ทานเข้าไปจะมีความกรุบกรอบ เมื่อทานพร้อมกันกับ Beef Tartare จะช่วยเพิ่มมิติ รสสัมผัสแปลกใหม่อย่างมาก เข้ากันกับผักแขยง (ผักพื้นบ้านของทางภาคอีสาน) ที่ให้กลิ่นหอมของสมุนไพรส่วนคำที่ 2 (ในน้ำมีปลา) ได้แรงบันดาลใจมาจากนาข้าวที่มีปลาช่อนแหวกว่ายไปมา เชฟจึงเลือกนำเอาปลาช่อนมาเป็นวัตถุดิบหลัก นำเนื้อปลาช่อนมาย่างหอม ๆ ผสมเข้ากับสมุนไพรไทยหลายชนิด คลุกเคล้าด้วยซอสมะขามและใบมะขามที่ให้รสเปรี้ยวอมหวาน เพิ่มความเข้มข้นให้กับคำที่ 2 อย่างมาก
ถัดจากเรื่องราวธรรมชาติ ๆ แบบไทย ๆ กันไปบ้างแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศมายังฝั่งของประเทศญี่ปุ่นกันบ้างกับเมนู KOI Pond ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ่อปลาคาร์ฟของญี่ปุ่น จำลองตามแบบธรรมชาติ โดยทางร้านได้เลือกใช้กุ้งออร์แกนิกสดส่งตรงจากฟาร์มจังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ให้เนื้อหวานสดฉ่ำมาเป็นตัวแทนของปลาคาร์ฟ นำเอามันกุ้งออกมาผสมกับสมุนไพรของไทยหลายชนิด เพื่อทำเป็นซอส ก่อนจะนำกลับไปใส่ไว้ในกุ้ง เมนูนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับซอส Pesto ที่มีส่วนผสมของชีสนมควายจากจังหวัดเชียงใหม่ ถั่วฝักยาวแดงดอง แล้วตกแต่งด้วยผักชีลาวและดอกกวางตุ้ง ตามมาติด ๆ กับเมนูอย่าง Roselle ทาร์ตตับไก่ที่ตัดรสชาติด้วยความเปรี้ยวอมหวานของกระเจี๊ยบที่เชฟนำมาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก ทำออกมาในหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งดอกกระเจี๊ยบ ใบกระเจี๊ยบ แล้วโรยด้วยผงกระเจี๊ยบ 3 รส เพื่อเพิ่มรสสัมผัสแบบครบรส ตัดรสชาติของตับไก่ให้อร่อยกลมกล่อมลงตัว ใครที่กำลังมองหาเมนูเบา ๆ ต้องลอง CRABpuccino เมนูซุปข้าวโพดที่เปลี่ยนวิธีการเสิร์ฟซุปจากรูปแบบชามเป็นถ้วยกาแฟเล็ก ๆ ความพิเศษด้วยการเลือกใช้ข้าวโพดหวานจากโครงการหลวง พร้อมเพิ่มคาแร็คเตอร์ให้กับตัวซุปข้าวโพดด้วยกลิ่นหอมรมควันเสิร์ฟมาในถ้วยกาแฟที่ท็อปด้วยฟองนม และโรยด้วยผงกาแฟ เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนได้ดื่มกาแฟจริง ๆ เมนูนี้เสิร์ฟมาคู่กันกับเวเฟอร์สอดไส้ปูและข้าวโพดรมควัน ได้ความหอมหวาน ละมุนละไมเต็ม ๆ แก้ว สำหรับเมนูห้ามพลาด เห็นจะเป็น Nest เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านที่มีให้ทานตลอดทุกฤดูกาล เสิร์ฟมาในรูปแบบของไข่ในรังนก โดยฐานล่างสุดคือไก่ฉีกเนื้อนุ่มคลุกเคล้ากับซอสไก่รสเข้มข้นที่เคี่ยวจากกระดูกไก่ ผัดเห็ดชิตาเกะ เห็ดพอชินี่ และทรัฟเฟิลออยล์ ส่วนรังนกทำขึ้นจากเส้นหมี่ทอดซึ่งทำมาจากข้าวสวย ท็อปด้านบนด้วยไข่ออนเซ็น ซึ่งเป็นไข่ไก่ที่ทางร้านนำไปเข้าเครื่องซูวีที่อุณหภูมิ 63.5 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 45 นาที เสิร์ฟมาพร้อมกับฟางข้าวที่ใช้ตกแต่งจานและสำหรับเป็นที่ทิ้งเปลือกไข่ ก่อนทานต้องตอกไข่ใส่รังก่อน อีกหนึ่งเมนูที่นำเสนอรสชาติความเป็นไทยสไตล์ท้องถิ่นได้ดีคือเมนู Garden ตกแต่งจานให้มีลักษณะคล้ายสวนญี่ปุ่นขนาดเล็ก โดยส่วนผสมภายในจานนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากผักลวกจิ้มน้ำพริก ซึ่งนิยมใช้เป็นผักพื้นบ้านของไทย แล้วนำเสนอในรูปแบบใหม่ เริ่มจากพื้นสีดำด้านล่างที่ทำมาจากมะเขือเผา เวลาทานจะได้กลิ่นหอม ๆ ของมะเขือเผา ทานคู่กับผักพื้นบ้านที่สามารถหาทานได้ทั่วไปอย่างผักปังที่ให้รสสัมผัสนุ่มหนึบหนับ ตามมาด้วยผักชีไทย ผักชีลาว ดอกโสน ดอกขจร และไข่เค็มชิ้นเล็ก ๆ ที่มาเพิ่มรสเค็มให้กับจานนี้ ก่อนจะเสิร์ฟมาพร้อมกับเนื้อสัตว์ตามต้องการ หากเป็นเนื้อปลาทางร้านจะเลือกใช้เป็นปลาเทราต์ ส่วนเนื้อวัวทางร้านจะใช้เป็นเนื้อญี่ปุ่น Iwate Beef เป็นเนื้อที่มีมันแทรกเป็นลายหินอ่อน ราดด้วยซอสยูสุที่ให้ความหอมสดชื่น เบรครสชาติหนัก ๆ ของเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี อิ่มท้องกับเมนูของคาวกันไปเรียบร้อย ต้องไม่ลืมทิ้งท้ายกันด้วยเมนูของหวานที่ทางร้านมีให้ทานถึง 3 เมนูด้วยกัน ได้แก่ Jao เมนูขนมหวานที่ใช้จาวมะพร้าวมาเป็นส่วนประกอบหลัก ได้เนื้อสัมผัสและหน้าตาที่คล้ายกับผลแอปเปิ้ล เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมน้ำอ้อย เฉาก๊วยจากกำแพงแสน ผลมัลเบอร์รี แล้วโรยด้วย Buck Weed ครัมเบิลธัญพืชกรุบกรอบ เมนูนี้จะทำให้ชวนนึกถึงรสชาติของขนมในวัยเด็ก Cactus เมนูขนมคานาเล่ที่ทำออกมาในลักษณะของกระบองเพชรหรือต้นแคตตัส โดยทวิสต์วัตถุดิบรสชาติแบบไทย ๆ เข้าไปด้วยใบเตย dyhydrate ที่นำมาเคลือบรอบ ๆ ตัวขนม แล้วท็อปด้านบนด้วยดอกโสน ส่วนทรายด้านล่างนั้นทำมาจากขนมปังบริยอชบดละเอียดให้เป็นผงคล้ายกับเม็ดทราย และ Stone โฮมเมดช็อกโกแลต ที่ดีไซน์รูปลักษณ์ออกมาให้เหมือนก้อนหิน ทำสดใหม่ต่อวันทุกชิ้น ด้านนอกเคลือบด้วยชาโคล ด้านในสอดไส้สับปะรดจิ้มพริกเกลือที่ให้รสชาติแบบไทย ๆ เสิร์ฟมาในถาดไม้ที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ชวนหลอกตาให้ทายกันเล่น ๆ ว่าก้อนไหนเป็นช็อกโกแลต ก้อนไหนเป็นหินจริง ๆCuisine de Garden
เอกมัยซอย 2 ถนนสุขุมวิท 63
เปิด วันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 18.00-23.00 น. (Last Order เวลา 21.00 น.)
โทร. 061-626-2816
www.cuisinedegarden.com
www.facebook.com/cuisinedegardenbkk