8 ร้านอาหารไทยสี่ภาค อร่อยจัดจ้านตามต้นตำรับท้องถิ่น

Published on August 26, 2018

ขึ้นชื่อว่าอาหารไทย อาหารประจำชาติแล้ว ก็ย่อมเป็นที่ถูกปากของคนไทยทุกคนเสมอ ถึงทุกวันนี้จะมีร้านอาหารไทยให้เราได้เลือกทานมากมาย แต่จะดีแค่ไหนถ้าในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารไทยรสชาติสไตล์ท้องถิ่นประจำของแต่ละภาคให้ลิ้มลองแบบไม่ต้องเดินทางไกลไปทานถึงต่างจังหวัด ไม่ว่าจะด้วยเรื่องของวัตถุดิบจากแหล่งผลิต สูตรลับความอร่อยฉบับต้นตำรับจากคนจังหวัดนั้น ๆ ที่ส่งตรงมาให้คนรักอาหารไทยได้ทานกันถึงที่ ส่วนจะเป็นร้านไหน ย่านใดบ้าง ตาม BKK.ไปปักหมุด ณ จุดชิมกันได้เลย


ภาคเหนือ

1

Ongtong Khaosoi x Ari

FULL REVIEW
 

Ongtong Khaosoi x Ari ยินดีต้อนรับ

ใครที่กำลังหาร้านอาหารเหนือแต่ไม่อยากเดินทางไกล ลองแวะไปที่ร้าน Ongtong Khaosoi x Ari แค่ลงบีทีเอสอารีย์และเดินจากปากซอยไม่ถึงหนึ่งนาทีก็จะได้ทานอาหารเหนือจากเชียงใหม่

FULL REVIEW
 

บรรยากาศภายในร้าน

หลังจากประสบความสำเร็จกับร้านก๋วยเตี๋ยวเรืออองตองที่จังหวัดเชียงใหม่ วันนี้อองตองได้เปิดร้านในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่อารีย์ Ongtong Khaosoi x Ari ร้านข้าวซอยและอาหารเหนือสูตรคุณย่า

ตัวร้านตั้งอยู่ในตึกแถวสองชั้นไม่ไกลจากปากซอยอารีย์ที่เต็มไปด้วยแผงลอยขายอาหาร อองตอง เป็นภาษาเหนือ หมายถึงสีเหลืองนวล การตกแต่งร้านจึงเน้นโทนเหลืองเป็นหลัก ผสมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เข้ากันอย่างลงตัว 

 

ตกแต่งร้านโดยเน้นโทนสีเหลืองทอง 'อองตอง' ตามชื่อของร้าน

ทางร้านเน้นเสิร์ฟเมนูข้าวซอยเป็นหลัก โดยได้สูตรจากคุณยายของเจ้าของร้าน และยังมีของทานเล่นสไตล์เชียงใหม่ให้ได้เลือกทานคู่กับข้าวซอย แนะนำเมนูคลาสสิก ข้าวซอยไก่ (69 บาท) รสกลมกล่อมบวกกับความหอมจากสมุนไพรและเครื่องเทศในซุปที่ซึมเข้าในเนื้อไก่ตุ๋นนุ่ม ๆ 

 

ข้าวซอยไก่ (69 บาท)

นอกจากข้าวซอยแล้ว ยังมี ข้าวแกงฮังเลหมู (79 บาท) อีกหนึ่งเมนูห้ามพลาดของร้าน ที่เลือกใช้สันคอหมูหมักขิงและกระเทียมแล้วนำไปตุ๋นจนเปื่อย ทานคู่ข้าวญี่ปุ่น เป็นการจับคู่รสสัมผัสหนึบของเม็ดข้าวกับความนุ่มเปื่อยของหมูได้เป็นอย่างดี

 

ข้าวแกงฮังเลหมู (79 บาท)

หากชอบรสจัด แนะนำ ข้าวซอยผัดไส้อั่ว (89 บาท) เส้นข้าวซอยนุ่ม ๆ คลุกเคล้ากับเครื่องไส้อั่วและไส้อั่วโฮมเมดของร้าน ผัดไฟแรงจนกลิ่นหอมอบอวล ให้รสจัดจ้านและเผ็ดร้อน

 

ข้าวซอยผัดไส้อั่ว (89 บาท)

Ongtong Khaosoi x Ari
ซอยพหลโยธิน 7 (อารีย์) 
เปิดทุกวัน เวลา 10.30-21.00 น.
โทร. 0-2003-5254
www.facebook.com/ongtongkhaosoi

2

ครัวเจียงใหม่

FULL REVIEW
 

หลากหลายเมนูอาหารเหนือตำรับเชียงใหม่

ทองหล่อเป็นอีกย่านหนึ่งที่มีร้านอาหารไทยแต่ละภาคเป็นจำนวนมาก รวมถึงร้านอาหารเหนือที่ชื่อว่า ครัวเจียงใหม่ ที่เสิร์ฟต้นตำรับอาหารเหนือ โดยผ่านการดูแลของคุณมิ้นต์ ผู้สืบสานตำรับรสชาติเชียงใหม่แท้ ๆ ที่ได้จากครอบครัวซึ่งเคยเปิดร้านอาหารเหนือที่เชียงใหม่เมื่อปี 2542 และต่อมาก็เปลี่ยนไปทำเดลิเวอรี่และบริการจัดเลี้ยง จนกระทั่งมีหน้าร้านเป็นของตัวเองเพื่อสร้างแบรนด์ให้เด่นชัดยิ่งขึ้นใจกลางเมืองย่านทองหล่อ ส่วนตัวร้านตกแต่งในสไตล์ทันสมัยและเรียบง่าย ให้ความรู้สึกพื้นบ้านด้วยการใช้โต๊ะไม้และจานชามมีลวดลายต่าง ๆ 

FULL REVIEW
 

บรรยากาศแสนอบอุ่นภายในร้าน

ทางร้านมีจุดเด่นคือการนำเสนอวัตถุดิบที่ส่งตรงจากภาคเหนือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผัก สมุนไพร เครื่องเคียง ตลอดจนน้ำพริกที่ทำขึ้นเองโดยได้สูตรตกทอดมาจากคุณยาย เพื่อให้ได้รสชาติต้นตำรับแท้ ๆ รวมถึงเป็นการเปิดประสบการณ์ทานอาหารใหม่ ๆ ให้กับคนกรุงเทพฯ รู้สึกถึงความเป็นเชียงใหม่ที่ถ่ายทอดผ่านหลากหลายเมนูที่ทางร้านนำเสนอ ลองสั่ง จิ้นส้มหมกไข่ (100 บาท) หรือที่เรียกกันว่าแหนมนั่นเอง ซึ่งทางครัวเจียงใหม่ได้เพิ่มความพิเศษให้กับจิ้นส้มโดยตอกไข่แล้วนำไปย่างในใบตอง ซึ่งสามารถเลือกระดับความสุกของไข่ได้ 

 

จิ้นส้มหมกไข่ (100 บาท)

อย่าลืมสั่ง ปูอ่อง (95บาท) อีกหนึ่งอาหารเหนือที่ทำจากไข่ปูนาผสมไข่แดง ปรุงรสด้วยเกลือ แล้วปิ้งในกระดองปูด้วยไฟอ่อน ๆ ให้รสชาติมัน ๆ เค็ม ๆ เล็กน้อย จิ้มกับข้าวเหนียวหรือคลุกข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยอย่าบอกใคร 

 

ปูอ่อง (95 บาท)

ส่วนเมนูที่รู้จักกันดีแต่พลาดไม่ได้คือ ข้าวซอยไก่ (95 บาท) ที่ทางร้านใช้กะทิสดผสมเครื่องแกงสูตรครอบครัวคุณมิ้นต์ ให้รสชาติกลมกล่อม มาพร้อมน่องไก่และเครื่องเคียง 

 

ข้าวซอยไก่ (95 บาท)

ครัวเจียงใหม่
ระหว่างซอยทองหล่อ 5 กับ 7 (BTS ทองหล่อ)
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
โทร. 099-196-2464
www.facebook.com/kruajiangmai

ภาคอีสาน

3

ส้มตำเด้อ (ทองหล่อ)

FULL REVIEW
 

สารพัดเมนูสุดแซ่บ

ส้มตำเด้อ ร้านอาหารอีสานรสต้นตำรับแท้ ๆ แบบฉบับลูกอีสานที่ไปสร้างชื่อในต่างแดนมาแล้วหลายต่อหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นนิวยอร์ก โฮจิมินห์ซิตี้ โตเกียว และกรุงเทพฯ กลับมาเสิร์ฟความอร่อยที่ทองหล่อ ให้คนกรุงได้ทานอาหารอีสานที่นำเสนอรสชาติแบบท้องถิ่นจริง ๆ 

FULL REVIEW
 

เลือกใช้โทนสีแดงส้ม ที่สื่อถึงความจัดจ้านของรสชาติอาหารอีสาน

ส้มตำเด้อสาขาทองหล่อ ตกแต่งในสไตล์ Contemporary ที่ผสมผสานความเป็นท้องถิ่นอีสานเข้าไว้กับความเป็น Urban Lifestyle ของคนเมืองได้อย่างลงตัว อาทิ การเลือกใช้โทนสีแดงส้ม ที่สื่อถึงความจัดจ้านของรสชาติอาหารอีสาน, โคมไฟที่ครอบด้วยสุ่มจับปลาสั่งทำพิเศษจากขอนแก่น, หวดที่ใช้นึ่งข้าวเหนียว, เสื่อลายสานงานผ้าไหม ผ้าหมี่ขิดที่นำมาตกแต่งบนผนังร้าน, ผ้าขาวม้า และอื่น ๆ อีกมากมายที่ให้กลิ่นอายของวัฒนธรรม สื่อถึงวิถีชีวิตของชาวอีสานแท้ ๆ  

 

สุ่มจับปลา หวดนึ่งข้าวเหนียว และเสื่อลายสานผ้าหมี่ขิดที่นำมาตกแต่งตกแต่งร้าน ได้กลิ่นอายของวิถีชีวิตอีสาน

สำหรับสารพัดเมนูตำแบบแซ่บ ๆ บ่อยากให้พลาดกัน เริ่มจาก ตำซั่วสกลนคร (80 บาท) ตำปูปลาร้าใส่ขนมจีน (ใช้น้ำปลาร้าที่ทำจากปลากระดี่ เป็นสูตรเฉพาะของร้านส้มตำเด้อ) แล้วโรยด้วยเม็ดกระถิน รสจัดจ้านไม่เน้นความหวาน (แต่สามารถเลือกระดับความเผ็ดได้ตามต้องการ) และให้ความหอมของเครื่องสมุนไพร

 

ตำซั่วสกลนคร (80 บาท)

ตามมาติด ๆ ด้วยเมนู หมูปิ้งกะทิสด (110 บาท) หมูปิ้งสไตล์สตรีทฟู้ดที่เพิ่มความหอมด้วยการทากะทิสด เพื่อให้ได้ทั้งความนุ่มและรสชาติที่กลมกล่อม แนะนำให้ทานคู่กับเส้นหมี่ขาวและแจ่วอีสาน อร่อยอย่าบอกใครเชียว

 

หมูปิ้งกะทิสด (110 บาท)

แล้วปิดท้ายความอร่อยด้วย แกงอ่อมไก่ (110 บาท) ซุปอีสานรสแซ่บนัวแบบบ้าน ๆ ที่ใช้เนื้อไก่สับติดกระดูก ข้าวคั่ว น้ำปลาร้าปรุงรส และเพิ่มความเผ็ดร้อนด้วยสมุนไพรผักพื้นบ้าน ซดน้ำแกงทานตอนร้อน ๆ คล่องคอดีเหลือเกิน 

 

แกงอ่อมไก่ (110 บาท)

ส้มตำเด้อ (ทองหล่อ)
351/2 ซอยสุขุมวิท 55 ถนนสุขุมวิท (BTS ทองหล่อ)
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.30 น. และ 16.30-22.30 น.
โทร. 0–2046-4904
www.facebook.com/somtumderthonglor

 

ส้มตำปูปลาร้า (60 บาท)

Phed Phed Cafe ร้านอาหารอีสานในซอยพหลโยธิน 8 ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารอีสานพื้นบ้านจากหลายตำบลในจังหวัดนครพนม ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบายตาคล้ายคาเฟ่ ไม่เหมือนร้านอาหารอีสานทั่วไป ทางร้านตั้งใจให้บรรยากาศร้านไม่เหมือนร้านอาหารอีสานทั่วไป แต่ต้องการให้เหมาะกับวัยรุ่นและวัยกลางคนมากขึ้น ใช้สีโทนเย็นเพื่อเสริมความทันสมัย

FULL REVIEW
 

ทางร้านเลือกใช้โทนสีเย็นในการตกแต่งบรรยากาศร้าน

วัตถุดิบส่วนใหญ่ทางร้านจะทำเอง เช่น ปลาร้า กากหมู น้ำลำไย เป็นต้น และยังมีผักบางส่วนที่มาจากสวนของจังหวัดนครพนม รวมทั้งวัตถุดิบที่หาทานยาก ได้แก่ กะปิจากเกาะช้าง ปลากรอบจากระยอง และกุ้งแห้งจากเกาะพะงัน เริ่มสั่งเมนูทานเรียกน้ำย่อยกันก่อนอย่าง แหนมย่าง (65 บาท) แหนมหมูหมักเอง 3 วัน ได้รสไม่เปรี้ยวมาก ทานกับถั่วลิสงคั่ว พริกขี้หนู ขิงซอย หอมแดง และผักชี 

 

แหนมย่าง (65 บาท)

ส่วนชามที่เป็นเมนูพื้นบ้านของภาคอีสานก็คือ แกงหน่อไม้สด เห็ดรวม ผักพื้นบ้าน (95 บาท) แกงเห็ดสูตรเข้มข้นจากน้ำใบย่านางและน้ำปลาร้า ต้มเดือด ๆ แล้วใส่หน่อไม้สด เห็ดหูหนู เห็ดฟาง ผักพื้นบ้าน และข้าวโพด รสชาติเค็มหวานกลมกล่อม มีกลิ่นหอมชวนทาน

 

แกงหน่อไม้สด เห็ดรวม ผักพื้นบ้าน (95 บาท)

ส่วนเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านเลยก็คือ ส้มตำปูปลาร้า (60 บาท) ส้มตำใส่ปลาร้ารสจัดพริก 8 เม็ด โรยกระถินตบท้ายให้เคี้ยวกรุบกรอบ และยังสามารถเลือกใส่ปูหรือกุ้งได้ โดยมีทั้งปูนาดอง ปูนานึ่ง ปูแสม ปูม้า (+100) และกุ้งสด (+75 บาท) ส่วนใครที่ไม่ทานเผ็ดแจ้งทางร้านก่อนสั่งได้

 

ส้มตำปูปลาร้า (60 บาท)

Phed Phed Cafe 
พหลโยธิน ซอย 8 (BTS อารีย์)
เปิด วันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 11.00-20.00 น.
โทร. 098-263-5715
www.facebook.com/PhedPhedCafe

ภาคตะวันออก

5

ศรีชา

FULL REVIEW
 

หากเอ่ยถึง 'โป๊ะแตก' แล้ว ภาพจำของทุกคนต้องเป็นเมนูต้มยำทะเลที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบชั้นดีจากท้องทะเล ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หมึก ปลา หอย และปู พร้อมรสชาติจัดจ้านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรไทยนานาชนิด และที่ ศรีชา แห่งนี้นี่เอง คือร้านอาหารที่คุณจะได้ลิ้มรสต้นตำรับของโป๊ะแตกชามแรกของโลก!

FULL REVIEW
 

ใจกลางย่านสาทรที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องสูง ๆ บรรยากาศภายในบ้านศรีชาหลังนี้ได้เก็บบรรยากาศอันแสนอบอุ่นไว้ควบคู่กับโครงสร้างเดิม พร้อมแต่งเติมด้วยสีสันของผนังและเพดาน รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใสที่ให้คุณได้ใช้ช่วงเวลาดี ๆ และอิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูอาหารไทยหาทานยากสูตรเฉพาะของที่นี่ โดย ศรีชา เกิดขึ้นจากความตั้งใจอันดีของ คุณป๊อบ-นาเคนทร์ วงศ์วสุ ที่ต้องการจะสืบทอดสูตรอาหารของคุณป้าแป๋ว เจ้าของร้าน ศรีราชาซีฟู้ด ตำนานร้านอาหารทะเลจากจังหวัดชลบุรีที่เป็นต้นกำเนิดของเมนู 'โป๊ะแตก' ชามแรกของโลกนั่นเอง

 

ในส่วนของเมนูอาหาร ที่นี่เน้นเสิร์ฟอาหารรสชาติดั้งเดิมตามแบบต้นตำรับจากร้านแรก มาถึงที่ร้านแล้วแนะนำให้สั่งเมนูทานเล่นอย่าง นางรมพิมรส (220 บาท) เพื่อเรียกน้ำย่อย จานนี้เอาใจคนชอบทานหอยนางรมเป็นพิเศษ ด้วยวิธีทานที่ต่างจากที่อื่น ๆ โดยทางร้านจะเสิร์ฟหอยนางรมตัวโตในซอสศรีราชาสูตรพิเศษของทางร้านที่ผสานเข้ากับซอสมะเขือเทศและเครื่องเทศนิดหน่อยให้พอมีกลิ่นหอมน่าทาน พร้อมด้วยหอมเจียว ขนมปังกรอบ และใบกระถิน

 

ต่อด้วยเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอย่าง โป๊ะแตก (320 บาท) กับตำนานความอร่อยที่มีรสชาติจัดจ้านแบบพอดี อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจากสมุนไพรไทยและวัตถุดิบชั้นดีที่สดใหม่จากท้องทะเล ทานกับข้าวสวยร้อน ๆ เข้ากันเป็นอย่างดี

 

หรือจะเป็น หมูญวนทรงเครื่อง (180 บาท) เมนูโบราณหาทานยากอีกหนึ่งจาน โดยเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่เลือกใช้หมูสับผสมเข้ากับปลาเค็ม ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้าเพื่อเพิ่มรสสัมผัสและกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมกับซอสตะไคร้ ให้รสชาติคล้ายกับพล่าที่นำด้วยรสเปรี้ยวและรสเค็ม ไม่ว่าจะทานกับข้าวหรือทานเล่นก็อร่อยไม่แพ้กัน

 

ศรีชา
163/2 ซอยสาทร 7
เปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 11.00-14.30 น. และเวลา 17.30-22.00 น.
โทร. 0-2003-9614
www.facebook.com/Sricha.cuisine

6

Supanniga Eating Room

FULL REVIEW
 

ตำรับอาหารภาคตะวันออกรสมือคุณยาย

Supanniga Eating Room นับเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารไทยร้านแรก ๆ ที่แฟนอาหารไทยนึกถึง มาพร้อมกับเมนูต้นตำรับของภาคตะวันออกที่หลายคนติดใจ

FULL REVIEW
 

บรรยากาศภายในร้าน

สำหรับเมนูอาหารของที่นี่โดยใช้ตำรับของคุณยายสมศรี จันทรา วัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากภาคตะวันออกซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณยาย ลองสั่ง ยำเนื้อลาย (160 บาท) ใช้เนื้อน่องลายมีเท็กซ์เจอร์กรุบ ๆ มาลวกแล้วราดน้ำยำรสชาติจัดจ้าน ตั้งฉ่าย กระเทียมเจียวหอม ๆ 

 

ยำเนื้อลาย (160 บาท)

หรือลองอาหารหาทานยากอย่าง หมูชะมวง (190 บาท) ที่ใช้สันคอหมูเคี่ยวกับใบชะมวง ได้รสชาติเปรี้ยวเล็ก ๆ อร่อยไม่เหมือนที่ไหน 

 

หมูชะมวง (190 บาท)

และยังมี น้ำพริกไข่ปู (190 บาท)  ที่มีทั้งไข่ปูและเนื้อปูในน้ำพริก ทานกับผักสดได้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไข่ลูกเขย (130 บาท) ที่ทอดได้กำลังดี ราดน้ำซอสสามรสและโรยหอมเจียวหอม ๆ ทานกับ ปลาทูทอดน้ำปลา (160 บาท) ได้กลิ่นหอมและมีความหวานเล็ก ๆ จากน้ำปลา ทานกับข้าวสวยเข้ากันได้ดีเลย

 

ปลาทูทอดน้ำปลา (160 บาท)

Supanniga Eating Room 
28 ซอยสาทร 10 เขตสาทร
เปิดทุกวัน เวลา 11.30-14.30 น. และ 17.30-23.30 น.
โทร. 0-2635-0349, 0-2635-0369
www.facebook.com/SupannigaEatingRoom

ภาคใต้

 

บรรยากาศชิลล์ ๆ ภายในร้าน

Din Din Thai Cuisine ร้านอาหารใต้รสจัดจ้าน โดยฝีมือของเจ้าของร้านที่เป็นคนใต้แท้ ๆ ได้พัฒนาความชอบทำอาหารให้ออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ พร้อมเสิร์ฟหลากหลายเมนูอาหารรสชาติจัดจ้านแบบโฮมเมดสไตล์ให้ชาวนนทบุรีได้ลิ้มลองกัน 

FULL REVIEW
 

บรรยากาศภายในที่ตกแต่งด้วยรูปภาพสถานที่สำคัญต่าง ๆ ทางใต้

ตัวร้านตกแต่งในสไตล์ชิโนโปตุกีสผสมผสานกับความเป็นโมเดิร์นเล็ก ๆ ด้วยกระจกบานใหญ่ ภายในมีเนื้อที่กว้าง ดูสูงและโปร่ง ตกแต่งด้วยไม้มะพร้าว สีน้ำเงินและสีทองเป็นหลัก ตกแต่งด้วยของกระจุกกระจิกน่ารักอย่างอุปกรณ์งานสานแบบไทย ๆ

ทางร้านเลือกที่จะชูความโดดเด่นของอาหารใต้บ้านเกิดขึ้นมา ซึ่งก็ได้คุณพ่อและคุณแม่มาเป็นพ่อครัวและแม่ครัวใหญ่ คอยกำกับและลงมือทำอาหารใต้รสจัดจ้านในสไตล์ปากพนัง สร้างสรรค์ทุกเมนูอาหารในสไตล์โฮมเมดและคัดสรรวัตถุดิบชั้นดีส่งตรงจากปากพนังเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ลูกกล้วย หัวมันขี้หนู ปลากุเลา ไหลบัว และอื่น ๆ ที่จะสลับกันมาเป็นวัตถุดิบสำหรับเมนูสเปเชียลสุดพิเศษในแต่ละเดือน เริ่มต้นมื้อพิเศษแบบนี้กันด้วยเมนู กุ้งทอดใบเล็บครุฑ (160 บาท) กุ้งแพทอดแบบปักษ์ใต้ที่นำกุ้งฝอยมาผสมกับเครื่องแกงใต้และใบเล็บครุฑ จากนั้นนำไปแพเป็นชิ้นพอดีคำและนำไปทอด ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่มีส่วนผสมของน้ำส้มจาก น้ำส้มสายชูที่ผลิตจากต้นจาก 

 

กุ้งทอดใบเล็บครุฑ (160 บาท)

ต่อกันที่เมนูยอดฮิตที่มีอย่างแพร่หลายทางใต้อย่าง หมูฮ้อง (160 บาท) ที่ทางร้านนำหมูสามชั้นชิ้นโตหมักเครื่องเทศนำไปตุ๋นจนรสเครื่องเทศเข้าเนื้อ

 

หมูฮ้อง (160 บาท)

หรือใครอยากจะลองเป็นเมนู ผัดหมี่ปากพนัง (160 บาท) อาหารประจำอำเภอปากพนัง เมนูทำง่ายแต่หากินยาก ซึ่งทางร้านนั้นใช้เส้นสดจากปากพนัง ผัดด้วยน้ำกะทิผสมเครื่องแกงตำเอง 

 

ผัดหมี่ปากพนัง (160 บาท)

Din Din Thai Cuisine
ซอยติดกับคอนโด The Base อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.
โทร. 09-8375-8269
www.facebook.com/dindinthaicuisine

8

Plaagut Southern Thai Recipe

FULL REVIEW
 

ตกแต่งร้านในมู้ดแอนด์โทนที่เรียบง่าย สบายตา เน้นสีเทา-ขาว เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนเป็นหลัก ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง

จากความหลงใหลในรสชาติของอาหารใต้สู่แรงบันดาลใจในการเปิดร้านอาหารสไตล์โฮมมี่ที่มีชื่อเก๋ไก๋แบบไทย ๆ ว่า Plaaut หรือ ปลากัด ซึ่งสื่อถึงความมีสีสัน ดุเด็ด เผ็ดร้อนของอาหารภาคนี้ได้เป็นอย่างดี โดยร้านอาหารใต้แห่งนี้เกิดจากความร่วมมือกันของ คุณเอ๋-คณุตม์ กิตติวัฒนศักดิ์ และ คุณแคล-ธนัญชล สุทธิช่วย สองหนุ่มที่ต่างก็ชอบทานและชอบทำอาหารใต้กันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะคุณแคลที่พื้นเพเป็นคนจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงนำสูตรอาหาร รสชาติดั้งเดิมของชาวนครฯ มาเสิร์ฟความอร่อย ให้คนกรุงเทพฯ ได้ลองทานกันแบบไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงเมืองคอน

FULL REVIEW
 

อาหารใต้แท้ ๆ ที่เน้นเสิร์ฟเมนูพื้นบ้านดั้งเดิม

ทางร้านเน้นเสิร์ฟเมนูพื้นบ้านดั้งเดิม รสชาติจัดจ้าน พร้อมคัดสรรวัตถุดิบ-เครื่องแกงเฉพาะถิ่นที่ส่งตรงมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันด้วยเมนูรองท้องเบา ๆ อย่าง กุ้งผัดวุ้นเส้นสะตอกระเทียมดอง (290 บาท) ผัดวุ้นเส้นใส่ไข่ ใส่น้ำกระเทียมดองที่ให้รสหวานกลมกล่อม คลุกเคล้ากับกุ้งแชบ๊วยตัวโต สะตอ และพริกชี้ฟ้าแดงที่ช่วยตัดรสชาติกันได้เป็นอย่างดี

 

กุ้งผัดวุ้นเส้นสะตอกระเทียมดอง (290 บาท)

ตามมาด้วยเมนู แกงส้มกุ้งสับปะรด (250 บาท) เครื่องแกงส้มจากนครศรีธรรมราช แกงใส่กุ้งแชบ๊วย ขมิ้นและเครื่องสมุนไพร โดดเด่นด้วยรสหวานของเนื้อสับปะรดที่มาตัดกันกับรสเปรี้ยว และความเผ็ดของเครื่องแกงส้มที่เคี่ยวเป็นเวลานาน มีรสเข้มข้นถึงเครื่องแกงใต้แท้ ๆ

 

แกงส้มกุ้งสับปะรด (250 บาท)

ปิดท้ายกันด้วย น้ำพริกโจร (200 บาท) เมนูท้องถิ่นเพื่อสุขภาพวัตถุดิบที่ใช้ประกอบด้วย มะม่วง กะปิ กุ้งสับ ปรุงรสด้วยพริกขี้หนูและน้ำมะนาว ให้รสเปรี้ยว ๆ เค็ม ๆ เสิร์ฟพร้อมผักสด ผักลวก และไข่ต้ม ที่ทานเข้ากันดี 

 

น้ำพริกโจร (200 บาท)

Plaagut Southern Thai Recipe 
55 ซอยสาทร 10 ถนนสาทร (BTS ช่องนนทรี)
เปิดทุกวัน เวลา 11.00-14.30 น. และ 17.30-22.00 น.
โทร. 0-2077-6144
www.facebook.com/Plaagut