From Chiang Mai to Bangkok
จากไร่ชาออร์แกนิกในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อย่าง ‘Araksa Tea Garden’ หนึ่งในไร่ชาเก่าแก่ของประเทศไทย ที่มุ่งมั่นในการรักษาวัฒนธรรมการดื่มชาแบบดั้งเดิม รวมถึงใส่ใจและให้ความสำคัญกับธรรมชาติแบบยั่งยืน ไปจนถึงวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนท้องถิ่น สู่ ‘Araksa Tea Room’ ห้องน้ำชาในตึกเก่าบนถนนเจริญกรุง พร้อมเสิร์ฟความหอมกรุ่นของชาในแบบฉบับชาวไร่ให้คนเมืองได้ลองสัมผัสประสบการณ์การดื่มชาไม่เหมือนที่ไหน ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบแสนผ่อนคลาย ที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงเชียงใหม่ก็ได้ซึมซับกลิ่นอายความ Slow Life ไปกับพื้นที่แห่งนี้
Welcome to Araksa Tea Room
ท่ามกลางมนต์เสน่ห์ความคลาสสิกที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องอันเก่าแก่ในย่านเจริญกรุง ได้เป็นที่ตั้งของ Araksa Tea Room ที่หยิบยกเอากลิ่นอายบรรยากาศของไร่ชาจังหวัดเชียงใหม่มาไว้ที่นี่ได้อย่างน่าสนใจ นับตั้งแต่ทางเข้าก็ชวนสะดุดตาด้วยอาคารสีขาวบริเวณหัวมุมพร้อมประตูและหน้าต่างไม้ ชวนให้เราเข้าไปสัมผัสความอบอุ่นด้านใน
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปจะพบกับบรรยากาศเงียบสงบ เรียบง่าย ผ่านการดีไซน์ที่เน้นใช้วัสดุไม้และไม้ไผ่ ก่อนจะสอดแทรกกิมมิกความเก๋เอาไว้ด้วยของตกแต่งต่าง ๆ อย่างสิ่งทอและงานเซรามิกจากช่างฝีมือท้องถิ่นไทย รวมถึงงานศิลปะม้งเชียงรายอย่างสิ่งทอบนผนังกลางร้านขนาดใหญ่ ที่สื่อถึงความเป็นภาคเหนือได้อย่างชัดเจน
Organic Tea from Garden in Chiang Mai
สำหรับความพิเศษของชาจากทางร้าน อยู่ที่การนำเสนอศิลปะแห่งการดื่มชาแบบดั้งเดิมที่ส่งตรงใบชากว่า 20 ชนิด มาจากไร่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นชาออร์แกนิกที่ปลูกโดยกลุ่มคนท้องถิ่นที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชาวเขา อาข่า ม้ง และลีซอ ควบคู่ไปกับชาวไทย จนได้ชาที่ดีที่สุดพร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้ลิ้มลอง โดยผู้เชี่ยวชาญด้านชาที่จะคอยแนะนำและแบ่งปันเทคนิคการชงชาให้กับคุณ
เริ่มต้นด้วยชาขาวอย่าง Sayun (320 บาท) ยอดชาที่ทางไร่ใส่ใจในการเก็บเกี่ยวด้วยมืออย่างพิถีพิถันในช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตก ทำให้ได้ชาในรสชาติเข้มข้นจากการเจอแสงแดดมาตลอดวัน ในขณะเดียวกันยังให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้และผลไม้ ดื่มแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้ดี
มาต่อกันที่ชาเขียว ขอแนะนำ Thida Green Tea (200 บาท) ชาเขียวที่ผ่านกระบวนการทำแบบดั้งเดิมโบราณ คือการใช้ไฟในการคั่ว ก่อนจะนำมานวดแล้วอบจนแห้ง ทำให้ได้กลิ่นหอมพร้อมรสชาติชัดเจน แทรกด้วยกลิ่นน้ำผึ้งและดอกไม้ ไม่ว่าจะดื่มคู่กับเมนูไหนก็เข้ากันได้อย่างลงตัว
ตามด้วยชาในหมวดอู่หลง ต้องลอง Silk (Dark Oolong) (200 บาท) ชาประเภทกึ่งหมักที่ให้รสชาติระหว่างชาเขียวและชาดำ หลังจากผ่านกระบวนการเก็บเกี่ยวใบชาจะถูกนำมาผึ่งแห้งเพื่อให้เกิด Oxidation ส่งผลต่อสี กลิ่น และรสชาติของชา ซึ่งจะทำให้ได้ความเข้มข้นอันเป็นเอกลักษณ์ สำหรับเมนูนี้มีความพิเศษอยู่ที่ทางร้านได้ Tea Specialist ชาวฝรั่งเศสมาครีเอตรสชาติให้ โดยสอดแทรกคาแรกเตอร์ของ Araksa เข้าไป ทำให้ได้รสชาติเข้มข้น หอมละมุน ควบคู่ไปกับกลิ่นน้ำผึ้ง ดอกไม้ และผลไม้ ไปในคราวเดียวกัน
อีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ ต้องขอยกให้กับชาในหมวด Raw Pu’er อย่าง Aoon Jai (200 บาท) ชาเพื่อสุขภาพที่ผ่านกระบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ตั้งแต่ปี 2018 เป็นเวลานานกว่า 5 ปี ทำให้ได้สีและรสชาติเข้มข้น พร้อมกลิ่นหอมไปในโทนน้ำผึ้งและผลไม้แห้ง เหมาะสำหรับคนชอบดื่มชาเข้ม ๆ ที่มีกลิ่นแบบชัดเจน
Homemade Baked Goods
จากนั้นมาลอง Pairing ชาร้อนกับขนมโฮมเมดแสนอร่อยของทางร้าน ไม่ว่าจะเป็น Scone (95 บาท) สโคนโฮมเมดที่มีให้เลือกถึง 4 รสชาติ ได้แก่ Pain / Lemon / Cranberry / Strawberry เสิร์ฟมาให้ทานพร้อมครีมและแยมสตรอเบอร์รีที่เข้ากันได้อย่างลงตัว
ตามด้วย Earl Grey Creme Brulee (180 บาท) เครมบรูเลที่เพิ่มสัมผัสแปลกใหม่ด้วยส่วนผสมของชาเอิร์ลเกรย์ ทำให้ได้กลิ่นหอม พร้อมรสชาติกลมกล่อม และความนุ่มละมุนแบบเต็มคำ
Slow Food
นอกจากจะได้สัมผัสการดื่มชาควบคู่ไปกับขนมอบโฮมเมดที่หลากหลายแล้ว Araksa Tea Room แห่งนี้ยังพร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Slow Food’ โดดเด่นด้วยการคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากหลากหลายท้องถิ่นในไทย ก่อนจะนำมาครีเอตรสชาติอย่างพิถีพิถันและใส่ใจโดยเชฟมากประสบการณ์
สำหรับเมนูแรก ขอแนะนำ ยำใบชาทอด (280 บาท) ใบชาส่งตรงจากไร่ที่ทางร้านนำไปชุบแป้งทอดจนกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำยำรสเข้มข้น จัดจ้าน มีหลากหลายน้ำยำให้เลือกทาน อาทิ ยำไก่ เห็ด และเมี่ยงคำ เป็นอีกหนึ่งจานที่ทานได้แบบเพลิน ๆ
ตามด้วย ข้าวยำ (240 บาท) ข้าวหอมมะลิจากตำบลแม่ทา จังหวัดเชียงใหม่ นำไปหุงกับกะทิ อัญชัน และขมิ้น จนได้ความหอมมัน กลมกล่อม เคียงมาพร้อมสมุนไพรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ถั่ว หัวหอม ตะไคร้ พริก ขิง งา และดอกดาหลา ก่อนจะนำมาคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน ทานคู่กับน้ำพริกเผา ช่วยเสริมรสชาติให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
มาถึงเมนูแนะนำที่ต้องลอง คือ ขนมจีนน้ำยาปู (440 บาท) เส้นขนมจีนออร์แกนิกที่ให้รสสัมผัสเหนียวนุ่มกำลังดี เสิร์ฟมาพร้อมน้ำยาปูที่ทำมาจากเครื่องแกงใต้ ทำให้ได้รสชาติความเข้มข้น ที่ผสมผสานกับเนื้อปูแบบเต็ม ๆ คำ
อีกหนึ่งเมนูที่น่าสนใจไม่แพ้กัน แนะนำ ฉู่ฉี่ปลา (340 บาท) มาพร้อมรสชาติกลมกล่อมกำลังดี ที่ผสานความเข้มข้น จัดจ้าน จากเครื่องแกงใต้ เสิร์ฟมาพร้อมปลาอินทรีเนื้อแน่นชิ้นใหญ่ ไม่ว่าใครทานก็ต้องถูกใจ
ปิดท้ายด้วยเมนูง่าย ๆ แต่หาทานได้ยาก อย่าง ไข่เจียวรากชู (140 บาท) ไข่เจียวที่ทอดมาจนได้สีเหลืองทอง มาพร้อมส่วนผสมของ ‘รากชู’ ผักพื้นบ้านของทางภาคเหนือที่มีกลิ่นคล้ายกุยฉ่าย ให้รสชาติแปลกใหม่พร้อมความนุ่มละมุนของไข่ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ Araksa Tea Room แห่งนี้ ยังพร้อมเสิร์ฟเมนูค็อกเทลในยามค่ำ โดยนำเอาวัตถุดิบชามาเป็นส่วนผสมหลักในการสร้างสรรค์เครื่องดื่มที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงยังชูวัตถุดิบของไทยตามจังหวัดต่าง ๆ ผ่านการนำเสนอเรื่องราวเส้นทางการเดินทางของใบชาจากเชียงใหม่มาสู่กรุงเทพมหานครอีกด้วย