Published on September 23, 2024

Step into the Reign of King Rama V to Sip Coffee at Bangkok Old Town

ชวนย้อนวันวาน เดินเล่นย่านแพร่งภูธร-พระนคร ก่อนแวะจิบกาแฟ เสพงานดีไซน์ พร้อมสัมผัสเสน่ห์ความคราฟต์ของสถาปัตยกรรมตึกเก่า เคล้าบรรยากาศสุดคลาสสิกที่ ‘Craftsman Roastery at Old Town’


Craftsman Roastery ร้านกาแฟสุดคราฟต์ที่หนึ่งในใจของคอกาแฟหลาย คน พร้อมเสิร์ฟกาแฟพ่วงด้วย Vibes ของความสุนทรีย์ครั้งใหม่ ให้ทุกคนได้ตามไปเช็กอินยังสาขาล่าสุด ที่ตั้งอยู่บนถนนบำรุงเมือง เต็มไปด้วยกลิ่นอายความคลาสสิกของย่านเก่า ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปซึมซับเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมของคนไทยในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังคงมนต์เสน่ห์ความคราฟต์ของอาคารสถาปัตยกรรมและบรรยากาศเก่า ผสมผสานเข้ากับงานดีไซน์ทันสมัย ให้เหล่าผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความลงตัว ผ่านการใส่ใจรายละเอียดในทุกอณูตามแบบฉบับของ Craftsman Roastery เช่นเดิม

 

ซึมซับความอบอุ่น ผ่อนคลาย บรรยากาศสบาย ๆ ภายในร้าน

จากจุดเริ่มต้นของความบังเอิญที่ คุณแวว-เนตรนภา นราธัศจรรย์ ผู้ก่อตั้งร้าน Craftsman Roastery ได้เจอตึกแถวโบราณอายุกว่าร้อยปี ซึ่งสันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และแม้ว่าตัวตึกจะถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายทศวรรษ ซึ่งก่อนหน้านี้จะเคยเป็นคลินิกทันตกรรมมาก่อนด้วย แต่ยังคงร่องรอยทางประวัติศาสตร์ผ่านสถาปัตยกรรมโบราณหลังนี้ไว้ให้ได้ถูกชะตาต้องใจ บวกกับความเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่สำคัญของไทยในอดีต ซึ่งละแวกถนนบำรุงเมืองนั้น เต็มไปด้วยสีสันของความเป็นชุมชนเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนแพร่งภูธร ชุมชนย่านเสาชิงช้า และชุมชนย่านพระนคร ที่เชื่อมต่อถึงกัน จึงมีเรื่องราวของความทรงจำดี ผ่านกาลเวลา รวมถึงสิ่งที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมายให้ได้เรียนรู้ ให้ได้ติดตาม ด้วยความหลงใหลในอาคารเก่าเป็นทุนเดิมของคุณแวว จึงนำมาสู่ไอเดียในการรีโนเวทอาคารเก่าสองชั้นอายุกว่าร้อยปีหลังนี้ให้กลายมาเป็น Craftsman Roastery อีกหนึ่งสาขา ผ่านแนวทางการปรับปรุงอาคารโดยสถาปนิกอนุรักษ์และออกแบบตกแต่งร้านโดย คุณรังสรรค์ นราธัศจรรย์ จากแบรนด์ Niiq ด้วยความตั้งใจอันดีในการร่วมอนุรักษ์ตึกโบราณ เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษในการมาร้านกาแฟ พร้อมถ่ายทอดความเป็น Craftsman Roastery ของสาขานี้ให้มีความอบอุ่น ผ่อนคลาย สบาย มากขึ้น

 

มุม Photogenic ของร้าน ซึ่งเมื่อมองผ่านบานประตูทางเชื่อม จะเห็นเป็นภาพกรอบรูปเก๋ ๆ

 

สาขานี้ยังคงเน้นตกแต่งร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์งานคราฟต์ สไตล์ Modern Vintage ที่สอดแทรกกลิ่นอายของ Industrial ไว้ได้ดีเช่นเดิม

Tone Down Decor for Cozy Moments

สำหรับสาขานี้ ทางทีมออกแบบเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กลง ดูกะทัดรัด และเพิ่มสีสันสดใสในแนวพาสเทลที่แมทช์เข้ากับธีมสีเอิร์ธโทนของร้าน เพื่อสร้างความแตกต่างจากสาขาอื่น ให้มู้ดบรรยากาศโดยรวมมีความอบอุ่น ผ่อนคลาย สบาย

 

สังเกตได้ว่า ทางร้านได้มีการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งขนาดกะทัดรัด เพื่อเพิ่มสเปซภายในร้านให้ดูกว้างมากขึ้น

เราอยากให้ Craftsman แต่ละสาขาได้ Vibes ที่แตกต่างกัน โดยแกนของตัวดีไซน์จะเน้นไปที่เฟอร์นิเจอร์งานคราฟต์ เฟอร์นิเจอร์ที่เป็น Modern Vintage สอดแทรกกลิ่นอายของ Industrial และพระเอกของ Craftsman ก็ยังคงเป็นอาคารเก่า พ่วงด้วยสิ่งสำคัญคือการอนุรักษ์อาคาร ซึ่งทาง Craftsman ยังให้ความสำคัญอยู่เสมอ แบบเข้มงวดเลยก็ว่าได้ เพราะทุกที่ที่เราเลือกเข้าไปปรับปรุงอาคารเก่า ก็จะมีการปรึกษากับทางสถาปนิกอนุรักษ์เสมอ ในเรื่องของการปรับปรุง เพื่อจะได้ลงมือทำกันอย่างถูกต้องค่ะคุณแวว-เนตรนภา นราธัศจรรย์

 

ภายในร้านมีมุมหนังสือและงานดีไซน์ต่าง ๆ ให้ได้เลือกชม เพื่อเสริมแรงบันดาลใจในการชีวิตให้กับเหล่าผู้คนที่มาเยือน

บรรยากาศโดยรวมถูกออกแบบมา เพื่อเพิ่มสเปซให้ดูโปร่งโล่งสบายตา อย่างการเปิดรับแสงธรรมชาติผ่านบานประตูหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่ ซึ่งดีไซน์ออกมาให้เหมือนเป็นกรอบรูปให้ชมวิวด้านนอกอย่างเต็มตา อีกทั้งบาร์กาแฟที่แต่เดิมเคยเลือกใช้เป็นในลักษณะหินดำหรือว่าวัสดุเหล็ก ก็ได้มีการลดทอนวัสดุลง เปลี่ยนไปใช้วัสดุไม้สีอ่อน รวมถึงกระเบื้องดินเผาสีเอิร์ธโทน ซึ่ง Tone Down ให้อารมณ์ความรู้สึกที่ซอฟต์ลง สงบมากขึ้น เพิ่มความสุนทรีย์ในการจิบกาแฟ ให้คนที่เข้ามาเยือนได้รับความผ่อนคลายกลับไป

 

มุมที่นั่งจิบกาแฟสบาย ๆ

หลากหลาย Element ของความวินเทจและความคลาสสิกถูกนำมาถ่ายทอดเป็นกิมมิกประจำสาขา ผ่านการค้นคว้าข้อมูลประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ว่าสภาพตึกเดิมของตึกนี้เป็นอย่างไร ซึ่งค้นพบว่าแต่เดิมตึกนี้เคยมี Passage (ทางเดินใต้ประตูรูปโค้ง) คล้ายกับรูปแบบสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส หรือที่เรียกว่าหง่อคาขี่ซุ้มประตูโค้งทางเดินเชื่อมต่อกันของผู้คนสมัยก่อน ทางร้านได้เลือกนำสิ่งนี้มาดีไซน์เป็นประตูทางเข้าร้านอีกหนึ่งด้าน ทำให้สามารถเข้าได้หลายทาง ทั้งด้านหน้าและด้านข้างร้าน เพื่อที่ทุกคนจะได้สัมผัสมนต์เสน่ห์ของสถาปัตยกรรมเก่า เคล้ากลิ่นอายของยุคสมัยเดิม ผ่านร่องรอยทางประวัติศาสตร์

 

หนึ่งมุมไฮไลต์ภายในร้าน ที่เสมือนเป็นห้องรับแขกบริเวณด้านนอก ให้คนที่มาเยือนได้เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งจิบกาแฟ ชมย่านพระนคร ผ่านบานหน้าต่างที่มองออกไปเห็นวิวถนนบำรุงเมือง

หรือจะเป็นการดึงเอาภูมิปัญญาไทยของคนสมัยก่อน ในการคิดแก้ปัญหาเรื่องความชื้นของตัวอาคารด้วยการเลือกใช้ปูนหมักสำหรับงานอนุรักษ์ตามคำแนะนำของ อาจารย์วทัญญู เทพหัตถี สถาปนิกอนุรักษ์ เพราะเป็นวิธีการหมักปูนแบบโบราณของชาวกรุงศรีอยุธยา ที่นิยมใช้สำหรับงานอนุรักษ์หรือบูรณะอาคาร สถาปัตยกรรมโบราณโดยเฉพาะ ซึ่งโทนสีของปูนหมักที่ได้ เมื่อฉาบบนผนังออกมาจะได้สีเหลืองนวลอย่างเป็นธรรมชาติ

 

ตัวอาคารเน้นเปิดรับช่องแสงธรรมชาติ เพื่อบรรยากาศที่โปร่งโล่ง สบายตา และเสริมมู้ดผ่อนคลายมากขึ้น

นอกจากความใส่ใจในทุกรายละเอียดของการออกแบบและตกแต่งร้านแล้ว ยังวางฟังก์ชันสเปซชั้นล่างให้มีมุมที่นั่งมากมายได้เลือกสรร รวมถึงชั้น 2 ให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์อีกด้วย ซึ่งในอนาคตทางร้านจะใช้เป็นที่จัดนิทรรศการขนาดย่อมหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวทางวัฒนธรรม อีกทั้งยังมีหนังสือและงานดีไซน์ต่าง ให้ได้เลือกชม เพื่อเสริมแรงบันดาลใจในการชีวิตอย่างรื่นรมย์อีกด้วย

 

การออกแบบบริเวณชั้น 2 ให้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ เพื่อใช้เป็นที่จัดนิทรรศการขนาดย่อมหรือกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ ประวัติศาสตร์ และเรื่องราวทางวัฒนธรรม

Select the Perfect Cup with 7 Coffee Blends

Craftsman Roastery ยังคงความเป็นคาเฟ่ที่เสิร์ฟ Specialty Coffee เช่นเดิม โดยสาขานี้จะเน้นไปที่ตัวเมล็ดกาแฟคั่วจากโรงคั่วของทางร้าน ซึ่งมีให้เลือกถึง 7 เบลนด์ด้วยกัน แต่ละเบลนด์จะมี Taste Note ที่แตกต่างกันไป แม้จะเป็นความ Simple ที่เรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่รับรองว่าเป็นกาแฟที่สามารถดื่มได้บ่อย เปลี่ยน Mood of the Day ของคนดื่มได้ทุกวันแน่นอน

เมล็ดกาแฟคั่วทั้ง 7 เบลนด์ ได้แก่
Floral Bomb Blend เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า คั่วอ่อนถึงคั่วกลาง จากเอธิโอเปีย ให้ Taste Note กลิ่นหอมของดอกไม้ขาวและผลไม้
Smith Blend เมล็ดกาแฟไทยสายพันธุ์อาราบิก้า คั่วกลาง จากปางขอนและห้วยขุนพระ จากจังหวัดเชียงราย ให้ Taste Note ช็อกโกแลต บราวน์ชูการ์ และทรอปิคอลฟรุ๊ต
Old Town Blend เมล็ดกาแฟ House Blend สายพันธุ์อาราบิก้า คั่วกลาง จากปางขอนและบราซิล ให้ Taste Note กลิ่นหอมของอัลมอนด์คั่ว บอดี้เข้มข้นระดับกลางผสานรสเปรี้ยวนิด ๆ ได้อย่างลงตัว
Wrench Wood Blend เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า คั่วอ่อนถึงคั่วกลาง จากฮอนดูรัส บราซิล และโคลอมเบีย ให้ Taste Note กลิ่นหอมของรัมเรซิน วิสกี้ และช็อกโกแลต
Huai Khun Phra Village Natural เมล็ดกาแฟไทยสายพันธุ์อาราบิก้า คั่วอ่อนถึงคั่วกลาง จากเชียงราย ให้ Taste Note ของถั่วไพน์ ความหวานหอมของบราวน์ชูการ์ ผสานรสชาติคล้ายเบอร์รี ทรอปิคอลฟรุ๊ต กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ และอาฟเตอร์เทสต์ที่ให้กลิ่นอายของเครื่องเทศนิด ๆ
Gentle Blend เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า คั่วกลาง จากเอธิโอเปียและบราซิล ให้ Taste Note กลิ่นหอมของดอกไม้ขาว อัลมอนด์ และให้อาฟเตอร์เทสต์รสหวานปิดท้าย
Artisan Blend เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า คั่วกลางถึงคั่วเข้ม จากบราซิลและลาว ให้ Taste Note แบบดาร์กช็อกโกแลต โทนนัตตี้ เนย และคาราเมลกลิ่นหอมหวานละมุนเหมือนขนม

สำหรับเมล็ดกาแฟเบลนด์พิเศษที่มีเสิร์ฟเฉพาะสาขานี้มีชื่อว่า 'Old Town Blend' โดยเป็น House Blend เมล็ดกาแฟไทยคั่วกลางที่มีความโมเดิร์น ให้ Taste Note แบบบาลานซ์ เป็นการพรีเซนต์กาแฟไทยในรสชาติสากล ตอบโจทย์คอกาแฟทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

 

มุมเคาน์เตอร์บาร์กาแฟ สำหรับสั่งเครื่องดื่มและเบเกอรีโฮมเมด ที่มีให้เลือกสรรหลากหลายเมนู

Signature Drinks and Freshly Baked Goods

หลังจากเลือกเมล็ดกาแฟเบลนด์ที่ชอบ Taste Note ที่ใช่เป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาสั่งกาแฟแก้วโปรดมาดื่มสักแก้ว ซึ่งหากใครที่ได้แวะมาสาขานี้ เมนูเครื่องดื่มแนะนำห้ามพลาดลำดับแรกเลยก็คือ Hot Latte (115 บาท) กาแฟลาเต้ร้อน โดยความพิเศษจะอยู่ที่ตัวเมล็ดกาแฟ ที่ทางร้านมี Option ของเมล็ดกาแฟคั่วให้เลือกสั่งตามความชอบมากถึง 7 เบลนด์ แต่ไม่ว่าจะเลือกเบลนด์ไหน ก็ให้รสกลมกล่อม หอมละมุน ถูกใจคนรักกาแฟนมเป็นที่สุด

 

Hot Latte (115 บาท)

ตามมาด้วยอีกหนึ่งแก้วซิกเนเจอร์ที่ดีงามไม่แพ้กัน ขอยกให้กับเมนู Amber Dirty (135 บาท) กาแฟเดอร์ตี้ผสมไซรัปมะพร้าวน้ำหอม พร้อมด้วยอินทนิลรสชาไทย ได้ความแปลกใหม่ไม่เหมือนที่ไหน

 

Amber Dirty (135 บาท)

ส่วนใครที่ไม่ดื่มกาแฟ ที่นี่ยังมีเครื่องดื่ม Non-Coffee ไว้เสิร์ฟความสดชื่นอีกมากมาย อาทิ Yo-Peach Tea (135 บาท) ชาพีชใสกลิ่นหอม ที่ท็อปด้วยครีมชีส ผสานรสชาติออกมาได้ลงตัวคล้ายกับสมูทตี้โยเกิร์ต ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

 

Yo-Peach Tea (135 บาท)

หรือจะเป็น Yuzu Matcha (150 บาท) มัทฉะเกรดพรีเมียมผสมน้ำส้มยุซุคั้นสด ได้รสเปรี้ยวอมหวานผสานความหอมสดชื่นได้อย่างลงตัว

 

Yuzu Matcha (150 บาท)

ไม่เพียงแต่เครื่องดื่มที่โดดเด่น เติมเต็มโมเมนต์ดี ระหว่างวันเท่านั้น Craftsman Roastery ยังครบเครื่องด้วยหลากหลายเมนูเบเกอรีโฮมเมด ให้เลือกจับคู่เสริมความอร่อยได้มากขึ้นอีกด้วย โดยส่วนใหญ่จะเน้นคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ พร้อมนำต้นแบบขนมฝรั่งที่แพร่หลายในยุคนั้นหรืออ้างอิงบางส่วนผสมมาจากวัฒนธรรมการกินของผู้คนสมัยก่อนมาครีเอตเป็นสารพัดเมนูเบเกอรีน่าลอง ไม่ว่าจะเป็น Sea Salt Butter Roll (75 บาท) ขนมปังเกลือใส่เนยสด หนึ่งในเมนูสุดเรียบง่าย แต่ให้กลิ่นหอมของเนยและรสเค็มของเกลือนิด ที่เข้ากันเป็นอย่างดี สำหรับเมนูนี้เป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมการกินอยู่ของผู้คนสมัยก่อนที่นิยมรับประทานขนมปังแบบไม่มีไส้

 

Sea Salt Butter Roll (75 บาท)

จากนั้นมาต่อกันที่ Banana Turnover Cake (160 บาท) เค้กกล้วยเนื้อสัมผัสแน่นหนึบ รสหวานฉ่ำกำลังดี ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเค้กกล้วยหน้าคว่ำเมนูเค้กยอดนิยมยุคแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ก่อนจะจับมาเป็นไอเดียในการตั้งชื่อเมนูเก๋ ให้ล้อไปกับชื่อเรียกเดิมของขนมเค้กต้นตำรับ โดยวิธีการทำจะคว่ำกล้วยลงด้านล่างเพื่อให้คลุกเคล้ากับคาราเมล ซึ่งเมื่ออบเสร็จแล้วตัวซอสคาราเมลจะเคลือบลงไปในเค้กและเนื้อกล้วย ซึ่งดึงเอากลิ่นหอมน้ำตาลไหม้มาผสานเข้ากับเท็กซ์เจอร์ของเค้กได้อย่างพอดิบพอดี 

 

Banana Turnover Cake (160 บาท)

ต่อเนื่องความอร่อยกันที่เมนู Young Coconut Palm Cake (160 บาท) เค้กตาลมะพร้าวอ่อน การผสานสุดยอดวัตถุดิบท้องถิ่นไทยอย่างตาลและมะพร้าว ที่ให้ความหอมมัน พร้อมเนื้อสัมผัสนุ่มหนึบของเค้ก ครีมมะพร้าวอ่อน และเนื้อมะพร้าวอ่อน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วได้ความกลมกล่อมที่สมบูรณ์แบบ

 

Young Coconut Palm Cake (160 บาท)

ก่อนจะปิดท้ายมื้ออร่อยย้อนวันวานครั้งนี้กันด้วย Pumpkin Pie (150 บาท) พายฟักทองสูตรพิเศษ ที่มีการใช้เครื่องเทศเป็นหนึ่งในส่วนผสมของขนม เช่น อบเชย โป๊ยกั๊ก กานพลู ลูกจันทน์เทศ ที่ให้กลิ่นอายของขนมฝรั่งยุคแรกเริ่ม ตามคอนเซ็ปต์เดิมที่นิยมรับประทานกันในสมัยรัชกาลที่ 5

 

Pumpkin Pie (150 บาท)

โดยสำหรับใครที่กำลังมองหาเมนูอาหารคาวไว้รับประทานสลับกับขนมหวาน อาจจะลองสั่งเป็น Chicken Cream Pie (150 บาท) หรือเมนูพายไก่ ก็อร่อยไม่แพ้กัน

 

Chicken Cream Pie (150 บาท)

Must Read!
  • สามารถจอดรถได้ที่ J Park เสาชิงช้า ค่าบริการ 30 บาท/ชม.
Info
Hours
Everyday : 7:30AM - 5PM
Price

฿฿ 101-300 บาทต่อคน

Address
23, ถนนบำรุงเมือง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
Map
Mass Transit

MRT สามยอด ทางออก 3

Facilities
Suggest an Edit