From Chiangmai to Bangkok
Cuisine de Garden ร้านอาหาร Casual Fine Dining ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพื้นเพของธรรมชาติ โดยมีต้นกำเนิดจากเชียงใหม่ ก่อตั้งและดูแลโดย เชฟแนน - ลีลวัฒน์ มั่นคงติพันธ์ หัวหน้าเชฟและเจ้าของร้าน ซึ่งได้ขยายสาขามาที่กรุงเทพฯ แต่ยังคงคอนเซ็ปต์ที่ได้แรงบันดาลใจจากวัตถุดิบธรรมชาติเช่นเดิม
Surrounded By Nature
ทางร้านนำกิ่งก้านของต้นไม้และกระจกเงามาเป็นการตกแต่งหลัก โดยถึงแม้จะตกแต่งโต๊ะแบบ Fine Dining แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต้องรู้สึกเคอะเขินเมื่อเข้ามา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งทานอาหารอยู่ในสวนอันเงียบสงบ อีกทั้งยังมีบาร์ค็อกเทลที่ทำมาจากหินกรวด ห้อมล้อมด้วยดวงไฟเล็ก ๆ ระยิบระยับคล้ายกับหิ่งห้อย ชวนให้มองเพลิน
ทางร้านยังได้สร้างสวนจริง ๆ มาไว้ด้านหลังร้าน เป็นโซนที่ค่อนข้างไพรเวทสำหรับคนที่ตั้งใจมาดื่มดริงก์ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว และยังได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติอีกด้วย
Every Dish Has A Story
เมนูอาหารทั้งหมดครีเอตขึ้นโดย เชฟแนน - ลีลวัฒน์ มั่นคงติพันธ์ ที่ได้แนวคิดและแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ ผสมผสานวัตถุดิบพื้นบ้านของไทยเข้ากับเทคนิคการทำอาหารสมัยใหม่แบบตะวันตก พร้อมเสิร์ฟ 10 Course Tasting Menus (1,950++ บาท) ที่มีทั้งหมด 10 คอร์ส ตั้งแต่เมนูเรียกน้ำย่อย ไปจนถึงขนมหวาน นอกจากนี้ยังมี Wine Selection ที่ทางร้านตั้งใจเลือกมาให้เข้ากับอาหาร เพื่อเสริมให้รสชาติของอาหารมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น และสามารถเพิ่ม Wine Pairing (5 Glasses 1,690++ บาท) ได้อีกด้วย
The Beauty of Nature
ในครั้งนี้ ทางร้านได้เปิดตัว Tasting Menus คอร์สใหม่สำหรับฤดูร้อนนี้ โดยเน้นนำเสนอเมนูที่ครีเอตขึ้นจากวัตถุดิบธรรมชาติที่หาได้ในช่วงนี้ รวมถึงภาพรวมของคอร์สนี้จะเต็มไปด้วยรสชาติที่ไม่หนักมาก เหมาะทานในช่วงซัมเมอร์นี้
เริ่มจากจานแรก Toast ขนมปังโทสต์จากแบรนด์ a piece of bread ซึ่งเป็นแบรนด์ขนมปังเดลิเวอรีของทางร้านที่เกิดขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา โดยจานนี้ทางเชฟได้นำขนมปังบริยอชมาท็อปหน้าด้วยหอย Whelk, ซอสไข่ดองมิโซะ, มะยงชิดดองและผักดองต่าง ๆ โรยหน้าด้วยผิวส้มและมะนาว ให้รสชาติเปรี้ยวนิด ๆ สดชื่น
ต่อด้วย Tako เมนูที่ทางเชฟได้ดัดแปลงขนมตะโก้มาเป็นของคาว เริ่มจากด้านล่างสุดเป็นกุ้งกระเทียมและท็อปด้วยซัลซ่ามะเขือเทศจากจังหวัดชลบุรี ด้านบนสุดเป็นครีมเบชาเมลที่ทางร้านนำไป infused กับเครื่องต้มยำ เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวเกรียบแผ่นใหญ่ที่ทำจากข้าวหอมมะลิ
จานที่ 3 เมนู Sunrise ได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูลาบจากจังหวัดกำแพงเพชรที่เชฟได้เคยทานเมื่อตอนเด็ก ๆ โดยด้านล่างสุดจะเป็นอะโวคาโดลาบ ตามด้วยเนื้อปูม้าที่ถูกฉีกเป็นเส้น ไข่แดงดองมิโซะ และผักสด ๆ ทั้งหมด 4 ชนิด อย่าง ผักชี, ผักซิ่ว, ยอดมะตูม, และใบมะกอก ที่ให้รสออกเปรี้ยว เพื่อตัดกับรสเผ็ดร้อนจากผงพริกแห้งที่โรยด้านบน ตามด้วย Sourdough ขนมปังซาวร์โดว์คอมบุ ทานคู่กับเนยผสมปลาคัตสุโอะ
จานถัดมา Koji tartine ส่วนของแป้งทาร์ตทำจากงาขาวญี่ปุ่นที่นำไปหมักกับบาร์เลย์ ให้รสชาติคล้ายชีส ด้านบนเป็นมูสปลาส้มเนื้อเนียน ก่อนจะท็อปด้วยไข่ผำ หรือสาหร่ายน้ำจืด และตกแต่งด้วยดอกดาวกระจายที่สั่งปลูกมาโดยเฉพาะ สามารถทานได้ ซ้อนอยู่บนแยมมะม่วงหาวมะนาวโห่ สำหรับวิธีการทาน แนะนำให้นำส่วนดอกไม้และแยมมาตักทานกับส่วนทาร์ต เพื่อให้ได้รสชาติที่ตัดกัน
มาถึงเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน Nest ด้านล่างสุดเป็นเนื้อไก่ฉีกที่นำไปผัดคลุกเคล้ากับเห็ดและน้ำมันทรัฟเฟิล ก่อนจะท็อปหน้าด้วยไข่ออนเซ็นเนื้อนุ่มละมุน และล้อมด้วยเส้นหมี่ทอดกรอบที่ทำจากข้าว ก่อนทานต้องตอกไข่ลงไปตรงกลางและคลุกเคล้ากับส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อให้ได้รสที่กลมกล่อมเข้ากัน
และ Weaving เมนูซุปร้อน ๆ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแกงผักหวานจากภาคเหนือ ตกแต่งมาอย่างสวยงามด้วยการนำต้นหอมญี่ปุ่นมาสานเป็นแพ ท็อปด้วยข้าวเหนียวลืมผัวผสมกับปลาป่นและแหนมเห็ดนางฟ้า คล้ายกับเมนูข้าวแหนมส้ม ด้านบนสุดท็อปด้วยธัญพืชหลากชนิด, ต้นหอมญี่ปุ่นและพริกซอยแห้ง ส่วนของน้ำซุปทำจากมะเขือเทศและดาชิ
สำหรับจานหลัก Summer มีให้เลือกทั้ง Fish จานปลาที่ทำจากปลาช่อนทะเลธรรมชาติจากสุราษฏร์ธานีที่ถูกนำไปผ่านการซูวีและนาบบนกระทะ ราดด้วยซอสที่ได้แรงบันดาลใจจากแกงอ่อม โดยเบสด้วยซอส Bouillabaisse ที่ผสมพริกแกงลงไป เคียงด้วยฟักทองพูเร, เมลอนจิ๋วดองและน้ำเต้า ทานคู่กับขนมจีบสอดไส้ข้าวลืมผัวผัดแห้วและเห็ด หรือ Beef เนื้อส่วนแก้มวัวตุ๋นจากออสเตรเลีย เสิร์ฟกับซอสที่ทำจาก Beef Jus และเครื่องแกง โรยหน้าด้วยผักชีไทย, ผักชีลาว และผักชีฝรั่ง
ล้างปากด้วย Granita กรานิต้ามะนาวดองเย็นสดชื่น ท็อปด้วยเมลอนอ่อน, มัลเบอร์รี และใบมะม่วง
มาถึงจานของหวาน Beach เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากค็อกเทล Pina Colada พานาค็อตต้าชีสอบควันเทียน ท็อปด้วยไอศกรีมสับปะรดภูแล ทานคู่กับผลไม้อย่าง สับปะรด, สาลี่ ที่ถูกนำไป Compressed กับรัม และครัมเบิ้ลมะพร้าว
ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Stone ช็อกโกแลตชาร์โคลสอดไส้เสาวรส และช็อกโกแลตชาร์โคลสอดไส้มะพร้าว ที่ทางร้านทำออกมาให้คล้ายก้อนหินจริง ๆ ก่อนทานอย่าลืมดูดี ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะหยิบก้อนหินจริง ๆ มาทานแทน!
Must Read!
- ควรจองล่วงหน้าและสอบถามทางร้านเรื่องวันและเวลาให้บริการอีกครั้ง
- สามารถจอดรถที่อาคารใกล้เคียง (นำบัตรมาสแตมป์กับทางร้าน)