Story of Marie Guimar
หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ ‘ท้าวทองกีบม้า’ หรือ ‘Marie Guimar’ หญิงสาวชาวญี่ปุ่น-โปรตุเกส ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งขนมไทย โดยเธอแนะนำขนมที่ได้รับอิทธิพลจากโปรตุเกส อย่างทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ให้กับประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นที่มาของ Marie Guimar ร้านอาหารไทยโบราณสูตรดั้งเดิมที่หยิบเอาเรื่องราวความเป็นไทยในอดีตมาบอกเล่าผ่านหลากหลายเมนูอาหารคาวหวานที่หาทานได้ยาก นำมาปรับรสชาติให้ถูกปากโดยปราศจากสารเคมีที่คนรักอาหารไทยต้องถูกใจ
Sino-Portuguese Vibes
ย้อนเวลาไปสัมผัสความอร่อยของอาหารไทยในอดีตกับ Marie Guimar ที่ตั้งอยู่บนชั้น 28 ของอาคาร Wyndham Bangkok Queen Convention Centre มาพร้อมบรรยากาศการตกแต่งอย่างหรูหราในไตล์ชิโนโปรตุกีสโทนสีเขียวสบายตา ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ความคลาสสิกในแบบฉบับของโปรตุเกสได้เป็นอย่างดี สะท้อนถึง ‘ท้าวทองกีบม้า’ หรือ ‘Marie Guimar’ ได้อย่างน่าประทับใจ ก่อนจะเสริมความเป็นไทยด้วยข้าวของเครื่องใช้ลายคราม รวมถึงผ้าม่านและวอลเปเปอร์ที่หยิบยกวิถีชีวิตเมืองแห่งสายน้ำของผู้คนในสมัยกรุงศรีอยุธยามาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ
Finest Authentic Thai Cuisine
สำหรับเมนูอาหาร ทางร้านได้หยิบยกเรื่องราวอันแสนงดงามของความเป็นไทย มานำเสนอให้เข้ากับยุคสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งกรรมวิธีการทำแบบดั้งเดิมที่ถูกส่งต่อมาแบบรุ่นต่อรุ่น ผ่านการคัดสรรทั้งวัตถุดิบที่ดีและกรรมวิธีการปรุงอย่างพิถีพิถันโดยที่ไม่ใส่ผงชูรสทุกเมนู
เริ่มกันที่เมนูแนะนำอย่าง ค้างคาวเผือก (180 บาท) ของว่างไทยตำรับชาววังที่มีมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยนำเผือกนึ่งมานวดให้เข้ากับแป้งขนมจีบญวน สอดไส้ด้วยกุ้งสับผัดกับมันกุ้ง เสริมความหอมกรุ่นด้วยใบมะกรูดซอยละเอียด แล้วนำมาทอดจนได้ความกรอบที่พอดี ทานคู่กับน้ำจิ้มอาจาด ให้รสชาติกลมกล่อม เข้ากันเป็นอย่างดี
ตามด้วย เรไรหน้าปู (320 บาท) ขนมไทยในพระราชนิพนธ์ที่หาทานได้ยาก โดยปกติมักจะนิยมทานคู่กับกะทิและมะพร้าวขูดโรยงา แต่ทางร้านนำมาเสิร์ฟให้ทานคู่กับน้ำยาปูสูตรเฉพาะ เพื่อให้ได้รสชาติแปลกใหม่ไม่เหมือนที่ไหน ที่คุณต้องประทับใจไปกับความกลมกล่อม หอมมัน ที่ทานได้แบบเพลิน ๆ
หากใครที่ชอบทานน้ำพริก ต้องถูกใจกับ น้ำพริกนครบาล (350 บาท) จัดเต็มมาด้วยส่วนผสมอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปลาแห้ง กุ้งแห้ง รวมถึงกากหมู ที่ชูความหอมพร้อมรสชาติจัดจ้านด้วยกระเทียม พริกแห้ง พริกขี้หนู และพริกชี้ฟ้า เคียงมาให้ทานคู่กับปลาดุกฟู ผักลวก และผักสดต่าง ๆ ให้รสชาติกลมกล่อมจัดจ้านแต่ไม่เผ็ดจนเกินไป
มาถึงอีกหนึ่งเมนูไฮไลต์ที่แนะนำว่าต้องลอง คือ โต่งหมูย่าง (380 บาท) เมนูจากอีสานตอนเหนือ ที่เป็นเมนูพื้นเมืองของจังหวัดเลย โดยทางร้านนำหมูมาย่างจนได้ความหอม ก่อนจะนำมาคลุกเคล้าให้เข้ากับน้ำยำที่ทำมาจากกะปิ พริก กระเทียม ตะไคร้ และใบโหระพา ให้รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม หอมกลิ่นเครื่องสมุนไพรแบบเต็มคำ
สัมผัสความเข้มข้นของพริกแกงสูตรโบราณที่ทางร้านทำเองกับเมนู แกงเนื้อพริกขี้หนู โรตี (400 บาท) โดดเด่นด้วยกรรมวิธีที่ทางร้านใช้หลักการเดียวกับการทำน้ำพริกแกงคั่ว ที่เต็มไปด้วยส่วนผสมของสมุนไพร นำไปปรุงรสและเคี่ยวกับเนื้อจนกระทั่งแกงมีความข้นจนเคลือบเนื้อทุกชิ้น แล้วโรยด้วยพริกขี้หนูปิดท้าย เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับโรตี ช่วยเสริมความอร่อยที่เข้ากันอย่างลงตัว
มาถึงอีกหนึ่งเมนูแกงที่แนะนำว่าต้องลอง คือ แกงระแวงซี่โครงอ่อน (320 บาท) แกงไทยโบราณที่หาทานได้ยาก โดยได้รับอิทธิพลมาจากชวา มีลักษณะคล้ายกับแกงพะแนง แต่มีสีออกเหลืองทอง เพราะใช้พริกแกงเขียวหวานที่เติมขมิ้นลงไป นำมาเคี่ยวกับซี่โครงอ่อน พร้อมเพิ่มกลิ่นหอมด้วยตะไคร้ ก่อนจะใส่พริกชี้ฟ้าสามสีปิดท้าย ให้รสชาติเข้มข้นตามแบบฉบับของอาหารไทยโบราณ
เอาใจคนชอบทานสมุนไพรด้วยเมนู ข้าวยำมารีกีมาร์ (250 บาท) จัดเต็มมาด้วยส่วนผสมของสมุนไพรหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขิง กระถิน ชะอม แตงกวา ตะไคร้ ใบมะกรูด และอื่น ๆ อีกกว่า 15 ชนิด ตามด้วยพริกป่น ปลาป่น กุ้งแห้งป่น และมะพร้าวคั่ว เสิร์ฟมาให้ทานคู่กับน้ำยำรสกลมกล่อมสูตรเฉพาะของทางร้าน ที่แม้คนไม่ชอบทานผักก็ต้องประทับใจกับเมนูนี้อย่างแน่นอน
ส่งท้ายความอร่อยกันที่เมนูขนมหวานที่ทางร้านตั้งใจอยากจะสานต่อแนวคิดของ ‘ท้าวทองกีบม้า’ โดยการนำเอาความเป็นไทยมาผสมผสานเข้ากับกลิ่นอายตะวันตกออกมาเป็นเมนู แชงมา (ปลากริมไข่เต่า) (180 บาท) มีความพิเศษอยู่ที่ทางร้านนำน้ำตาลมาเคี่ยวจนกลายเป็นคาราเมลและมีความหอมไหม้ เมื่อนำไปผสมผสานรสชาติเข้ากับความเค็มของกะทิ จะได้รสหวานเค็มตัดกันอย่างพอดี ทานคู่กับเครื่องดื่มที่แสนชื่นใจอย่าง แก้วมรกต (180 บาท) น้ำมะตูมใบเตยที่ช่วยปิดท้ายมื้อนี้ได้อย่างน่าประทับใจ